
ภาพประกอบการโฆษณาเท่านั้น
ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ แต่บางครั้งความผิดปกติบริเวณรอบดวงตาก็อาจส่งผลกระทบต่อการมองเห็นและความมั่นใจได้ หนึ่งในปัญหาที่พบบ่อยและไม่ควรมองข้ามคือภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง ซึ่งทำให้เปลือกตาตกลงมาบดบังการมองเห็น ทำให้ดูเหมือนคนง่วงนอนตลอดเวลา หรือส่งผลต่อบุคลิกภาพโดยรวม วันนี้ หมอบีม Facial Expert และทีมงาน BEAMS Plastic Surgery ได้รวบรวมข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงตั้งแต่สาเหตุ อาการ วิธีการวินิจฉัย ไปจนถึงแนวทางการรักษาที่เหมาะสม เพื่อให้คุณเข้าใจและรับมือกับปัญหานี้ได้อย่างถูกต้องค่ะ
กล้ามเนื้อตาอ่อนแรงคืออะไร
กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง (Ptosis) คือภาวะที่เปลือกตาบนตกลงมาต่ำกว่าตำแหน่งปกติ อาจเกิดขึ้นกับตาข้างเดียวหรือทั้งสองข้างก็ได้ ภาวะนี้เกิดจากความผิดปกติของกล้ามเนื้อที่ใช้ในการยกเปลือกตา (Levator Palpebrae Superioris muscle) หรือเส้นประสาทที่ควบคุมกล้ามเนื้อมัดนี้ทำงานได้ไม่เต็มที่ ทำให้เปลือกตาไม่สามารถเปิดขึ้นได้อย่างสมบูรณ์ ส่งผลให้ขอบตาบนลงมาปิดบังรูม่านตาบางส่วนหรือทั้งหมด ซึ่งอาจกระทบต่อการมองเห็นและบุคลิกภาพได้ ภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงสามารถพบได้ในทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึงผู้สูงอายุ
สาเหตุของอาการกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง
การทำความเข้าใจถึงต้นตอของปัญหากล้ามเนื้อตาอ่อนแรงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาได้อย่างตรงจุด ซึ่งสาเหตุหลักๆ สามารถแบ่งออกได้เป็นหลายปัจจัย ดังนี้
ปัจจัยทางพันธุกรรม
ภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงแต่กำเนิด (Congenital Ptosis) เป็นผลมาจากพัฒนาการที่ผิดปกติของกล้ามเนื้อยกเปลือกตาตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับปัจจัยทางพันธุกรรม หากมีประวัติคนในครอบครัวเป็นภาวะนี้ ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดกับบุตรหลานได้
โรคระบบประสาท
โรคบางชนิดที่ส่งผลกระทบต่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อ เช่น โรค Myasthenia Gravis (โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงชนิดร้าย) หรือความผิดปกติของเส้นประสาทสมองคู่ที่ 3 (Oculomotor nerve palsy) ซึ่งควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อยกเปลือกตา อาจเป็นสาเหตุของภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงที่เกิดขึ้นภายหลังได้
ผลกระทบจากการใช้ชีวิตประจำวันและปัจจัยอื่นๆ
อายุที่เพิ่มมากขึ้นเป็นสาเหตุที่พบบ่อย ทำให้กล้ามเนื้อยกเปลือกตาหย่อนคล้อยหรือยืดออก นอกจากนี้ การใส่คอนแทคเลนส์เป็นเวลานาน การขยี้ตาบ่อย ๆ การเกิดอุบัติเหตุบริเวณดวงตา หรือการผ่าตัดตาบางชนิด ก็อาจส่งผลให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงตามมาได้เช่นกัน
อาการและสัญญาณเตือนที่ควรสังเกต
อาการของกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ตั้งแต่ระดับเล็กน้อยไปจนถึงรุนแรง การสังเกตสัญญาณเตือนตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้เข้ารับการวินิจฉัยและรักษาได้อย่างทันท่วงที
อาการแสดงในระยะเริ่มต้น
- เปลือกตาตกลงมาเล็กน้อย อาจสังเกตเห็นความแตกต่างระหว่างตา 2 ข้างได้ไม่ชัดเจน
- รู้สึกหนัก ๆ ที่เปลือกตา หรือรู้สึกเหมือนมีอะไรมาบดบังการมองเห็นด้านบน
- ต้องพยายามเลิกคิ้ว หรือเงยหน้าขึ้นเพื่อช่วยในการมองเห็นให้ชัดเจนขึ้น
- ตาดูปรือ เหมือนคนง่วงนอนตลอดเวลา แม้จะพักผ่อนเพียงพอ
- อาจมีอาการตาล้าได้ง่ายกว่าปกติ โดยเฉพาะเมื่อต้องใช้สายตาเป็นเวลานาน
อาการที่บ่งบอกถึงความรุนแรง
- เปลือกตาตกลงมามากจนบดบังรูม่านตาอย่างชัดเจน ทำให้การมองเห็นลดลง
- ต้องเงยหน้าหรือใช้การเลิกคิ้วช่วยมองตลอดเวลา จนอาจมีอาการปวดศีรษะหรือปวดต้นคอร่วมด้วย
- เห็นภาพซ้อน (ในบางกรณีที่เกี่ยวข้องกับโรคทางระบบประสาท)
- ความสูงของเปลือกตาสองข้างแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
- ในเด็กเล็ก หากเป็นรุนแรงและไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่ภาวะตาขี้เกียจ (Amblyopia) ได้ เนื่องจากสมองไม่ได้รับการกระตุ้นการมองเห็นจากตาข้างนั้นอย่างเหมาะสม
การวินิจฉัยโรคกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง
การวินิจฉัยที่แม่นยำเป็นหัวใจสำคัญในการวางแผนการรักษากล้ามเนื้อตาอ่อนแรง แพทย์จะทำการซักประวัติอย่างละเอียด ร่วมกับการตรวจร่างกาย เพื่อหาสาเหตุและประเมินความรุนแรง
การตรวจร่างกายเบื้องต้น
แพทย์จะเริ่มต้นด้วยการซักประวัติเกี่ยวกับอาการ ระยะเวลาที่เป็น ประวัติการเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุบริเวณดวงตา ประวัติครอบครัว และการใช้ยาต่าง ๆ จากนั้นจะทำการตรวจวัดระดับการตกของเปลือกตา (Marginal Reflex Distance 1 หรือ MRD1) เพื่อดูว่าขอบเปลือกตาบนอยู่ต่ำกว่ากึ่งกลางรูม่านตามากน้อยเพียงใด และตรวจวัดการทำงานของกล้ามเนื้อยกเปลือกตา (Levator Function) โดยให้มองลงล่างสุดแล้วมองขึ้นบนสุด เพื่อดูระยะการเคลื่อนที่ของเปลือกตา นอกจากนี้ยังอาจตรวจการมองเห็น การเคลื่อนไหวของลูกตา และลักษณะของรูม่านตาด้วย
การตรวจพิเศษทางการแพทย์
ในบางกรณี แพทย์อาจพิจารณาส่งตรวจเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุที่แน่ชัด หรือเพื่อแยกโรคอื่นๆ ที่อาจมีอาการคล้ายคลึงกัน เช่น
- การตรวจเลือด เพื่อตรวจหาแอนติบอดีที่เกี่ยวข้องกับโรค Myasthenia Gravis
- การตรวจทางระบบประสาท หากสงสัยว่ามีสาเหตุมาจากความผิดปกติของเส้นประสาท
- การทดสอบด้วยยา Tensilon (Edrophonium test) เพื่อช่วยวินิจฉัยโรค Myasthenia Gravis โดยยาจะช่วยให้อาการกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงดีขึ้นชั่วคราว
- การตรวจภาพถ่ายทางรังสี (CT scan หรือ MRI) หากสงสัยว่ามีเนื้องอกหรือความผิดปกติทางโครงสร้างอื่นๆ บริเวณเบ้าตาหรือสมอง

ภาพประกอบการโฆษณาเท่านั้น
แนวทางการรักษากล้ามเนื้อตาอ่อนแรง
เมื่อทราบสาเหตุและความรุนแรงของภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงแล้ว แพทย์จะพิจารณาแนวทางการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย ซึ่งมีตั้งแต่การสังเกตอาการไปจนถึงการผ่าตัดแก้ไข
การสังเกตอาการ (Observation)
ในกรณีที่อาการเป็นน้อยมาก ไม่ส่งผลกระทบต่อการมองเห็นหรือบุคลิกภาพอย่างชัดเจน แพทย์อาจแนะนำให้สังเกตอาการไปก่อน และนัดตรวจติดตามเป็นระยะ
การรักษาด้วยยา
หากสาเหตุเกิดจากโรคบางชนิด เช่น Myasthenia Gravis การใช้ยาเพื่อควบคุมโรคประจำตัวนั้นๆ อาจช่วยให้อาการกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงดีขึ้นได้ นอกจากนี้ อาจมียาหยอดตาชนิดพิเศษ (Oxymetazoline ophthalmic solution) ที่ช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อ Müller ให้หดตัว ทำให้เปลือกตายกขึ้นได้ชั่วคราว แต่ยังไม่แพร่หลายในประเทศไทยและเหมาะกับบางกรณีเท่านั้น
การผ่าตัดแก้ไข (Surgical Correction)
เป็นวิธีการรักษาหลักและได้ผลถาวรที่สุดสำหรับภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง โดยมีเทคนิคการผ่าตัดหลายวิธี ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงและการทำงานของกล้ามเนื้อยกเปลือกตาที่เหลืออยู่
การผ่าตัดมัดกล้ามเนื้อยกเปลือกตา (Levator Resection/Advancement)
เป็นวิธีที่นิยมใช้มากที่สุด เหมาะสำหรับผู้ที่กล้ามเนื้อยกเปลือกตายังทำงานได้ดีอยู่บ้าง ศัลยแพทย์จะทำการผ่าตัดเข้าไปเพื่อปรับร่น หรือทำให้กล้ามเนื้อตึงขึ้น เพื่อให้สามารถยกเปลือกตาได้สูงขึ้นสู่ตำแหน่งปกติ การผ่าตัดนี้สามารถทำร่วมกับการทำตาสองชั้น (Blepharoplasty) เพื่อความสวยงามไปพร้อมกันได้
การผ่าตัดดึงเปลือกตาด้วยกล้ามเนื้อหน้าผาก (Frontalis Sling Suspension)
เหมาะสำหรับกรณีที่กล้ามเนื้อตาอ่อนแรงรุนแรงมาก หรือกล้ามเนื้อยกเปลือกตาทำงานได้น้อยมาก ศัลยแพทย์จะใช้วัสดุสังเคราะห์ (เช่น ซิลิโคน) หรือเนื้อเยื่อของผู้ป่วยเอง (เช่น พังผืดจากหน้าขา) ทำเป็นแถบเชื่อมระหว่างเปลือกตากับกล้ามเนื้อบริเวณหน้าผาก (Frontalis muscle) เพื่อให้สามารถใช้การยักคิ้วช่วยในการลืมตาได้
การผ่าตัดแก้ไขร่วมกับการยกคิ้วหรือดึงหน้า
ในบางครั้ง ภาวะหนังตาตกอาจดูรุนแรงขึ้นจากภาวะคิ้วตก (Brow Ptosis) ร่วมด้วย ซึ่งพบได้บ่อยในผู้สูงอายุ กรณีเช่นนี้ การผ่าตัดแก้ไขกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ ศัลยแพทย์อาจพิจารณาทำการ ยกคิ้ว (Endo-Browlift) หรือ Sub Brow lift ซึ่งเป็นการผ่าตัดซ่อนแผลใต้คิ้ว เพื่อยกคิ้วและผิวหนังเปลือกตาส่วนเกินขึ้น
หรือในบางรายอาจต้องใช้เทคนิคการ ดึงหางตา (Foxy Eye) หรือ ดึงหน้า (Facelift) โดยเฉพาะส่วนบน เพื่อยกกระชับผิวหนังบริเวณหน้าผากและหางตาให้ตึงขึ้น ซึ่งอาจใช้เทคนิคการยึดด้วยวัสดุ Endotine เพื่อผลลัพธ์ที่คงทนและเป็นธรรมชาติมากขึ้น การรักษาแบบผสมผสานนี้จะช่วยแก้ปัญหาทั้งหนังตาตกและคิ้วตกไปพร้อมกัน ทำให้ดวงตาดูเปิด สดใส และอ่อนเยาว์ขึ้นอย่างสมดุล

ภาพประกอบการโฆษณาเท่านั้น
สรุปบทความ
ภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบทั้งด้านการมองเห็นและบุคลิกภาพ เกิดได้จากหลายสาเหตุ ตั้งแต่พันธุกรรม โรคภัยไข้เจ็บ ไปจนถึงความเสื่อมตามวัย การสังเกตอาการตั้งแต่เนิ่น ๆ และเข้ารับการวินิจฉัยที่ถูกต้องจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อนำไปสู่แนวทางการรักษาที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการใช้ยาหรือการผ่าตัดแก้ไข ซึ่งมีหลากหลายเทคนิคเพื่อตอบโจทย์ปัญหาและความต้องการของผู้ป่วยแต่ละราย หากคุณกำลังประสบปัญหากล้ามเนื้อตาอ่อนแรง หรือปัญหาหนังตาตก คิ้วตก ไม่ต้องกังวลใจ BEAMS Plastic Surgery โดย หมอบีม Facial Expert และทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมตกแต่งใบหน้า พร้อมให้คำปรึกษาและดูแลทุกปัญหาเกี่ยวกับดวงตาและใบหน้าของคุณ เข้ามาปรึกษาเพื่อหาแนวทางแก้ไข และสร้างสรรค์ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดร่วมกัน สอบถามกับหมอบีมผ่านช่องทางต่าง ๆ ของคลินิกได้เลยค่ะ