หมอเจอคนไข้เข้ามาปรึกษาเรื่องหางตาตกบ่อยขึ้นมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ไม่ใช่แค่คนอายุ 50-60 ปีนะครับ คนอายุ 30 ปลายก็เริ่มรู้สึกว่าหางตาตัวเองเริ่มตกแล้ว โดยเฉพาะคนที่ทำงานหน้าคอมเยอะ ใช้สายตาหนัก หรือแม้แต่เครียดบ่อย ๆ จนกล้ามเนื้อรอบดวงตาล้าแบบไม่รู้ตัว
คำถามที่คนไข้มักถามคือ…
“หางตาตกนี่มันมีผลต่อการมองเห็นจริงไหม?” “แล้วต้องผ่าตัดมั้ยคะหมอ?”
“มันเป็นเพราะริ้วรอย หรือเพราะอะไร?”
วันนี้หมอจะเล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่ายที่สุด พร้อมแชร์วิธีแก้ไข “หางตาตก” ที่ศัลยแพทย์ตกแต่งทำเป็นประจำอย่าง Endoscopic Brow Lift หรือการยกคิ้วแบบส่องกล้องนั่นเองครับ”
หางตาตกคืออะไร? วิธีเช็กด้วยตัวเองมีอะไรบ้าง?
ลักษณะของ “หางตาตก” ที่เช็กได้ด้วยตัวเอง
หางตาตก เป็นภาวะที่ส่วนปลายของดวงตาด้านนอก (หรือ “หางตา”) เริ่มคล้อยลงต่ำกว่าระดับปกติ ทำให้เกิดลักษณะตาที่ดูง่วง เหนื่อย เศร้า หรือขาดความสดชื่น แม้ไม่ได้รู้สึกง่วงจริง ๆ โดยบางคนจะเริ่มสังเกตได้จากการถ่ายรูปเซลฟี่ หรือแต่งหน้าที่ยากขึ้น เพราะอายไลเนอร์หางตาไม่เท่ากัน
ลักษณะอื่น ๆ ที่อาจสังเกตได้ เช่น
- หางตาข้างหนึ่งตกมากกว่าข้างหนึ่ง
ถ้าเส้นเอียงลง อย่างเห็นได้ชัด มีแนวโน้มว่าหางตาตก - เวลาหัวเราะหรือยิ้ม หางตาจะดูหย่อนมากเกินไปหรือไม่
ถ้ามีรอยย่นชัด หรือรอยย่นลากลงล่างมากผิดปกติ มักเป็นเพราะหางตาตก และริ้วรอยตีนกาเริ่มมีอิทธิพล - รู้สึกว่าตาตัวเองดูเศร้ากว่าที่เคยเป็น หรือ รู้สึกว่าหางตาเปิดยาก หนักๆ คล้ายโดนถ่วง อาจมีภาวะหนังตาเกินหรือหางตาตก
- ใช้นิ้วดันบริเวณหางคิ้วขึ้นเบาๆ ถ้ารู้สึกว่าตาเปิดกว้างขึ้น ดูสดใสขึ้นทันที = เป็นสัญญาณว่าหางตาตกมีผลต่อภาพรวมใบหน้าแล้ว
หางตาตก ไม่ได้เป็นแค่เรื่องสวยงามครับ มันส่งผลถึงบุคลิก ความมั่นใจ และในบางรายก็เริ่มมีปัญหา “การมองเห็นมุมข้าง” ได้จริง โดยเฉพาะเมื่อเป็นมากขึ้น
ภาพประกอบการโฆษณาเท่านั้น
หางตาตกต่างจาก “หางตาชี้ลง” หรือ “รูปตาเฉย ๆ” ยังไง?
หลายคนเข้าใจผิดว่าหางตาชี้ลงก็คือหางตาตก แต่จริง ๆ แล้วไม่เหมือนกันนะครับ
บางคนมีลักษณะตาชี้ลงมาแต่กำเนิด แบบนั้นไม่ถือว่าเป็น “หางตาตก” ครับ เพราะไม่ได้เกิดจากความหย่อนคล้อยของกล้ามเนื้อหรือผิวหนังที่เปลี่ยนไปตามอายุ
ในทางกลับกัน หางตาตก ที่เป็นปัญหาส่วนใหญ่ มักเกิดจากโครงสร้างที่เริ่มเปลี่ยน เช่น กล้ามเนื้อ orbicularis oculi ที่อ่อนแรง หรือผิวหนังรอบขมับและหางคิ้วที่เริ่มคล้อยลง จนพาลให้หางตาทิ้งตัวตามแรงโน้มถ่วง
อธิบายชัดๆคือ
- หางตาตก เกิดจากกล้ามเนื้อรอบดวงตาและผิวหนังหย่อนคล้อยจากอายุหรือพฤติกรรม
- หางตาชี้ลง (downturned eyes) เป็นลักษณะโครงสร้างดวงตาแต่กำเนิดที่หางตาต่ำกว่าหัวตา
ความแตกต่างนี้สำคัญมาก เพราะถ้าเป็นโครงสร้างตาแต่กำเนิด การผ่าตัดจะไม่เหมาะเท่าการยกหางตาแบบเฉพาะบุคคล ส่วนหางตาตกจากอายุหรือความเครียด สามารถแก้ได้ด้วยการยกคิ้วอย่างเหมาะสม
หางตาตกกับ “ริ้วรอย” และ “ตีนกา” มักมาเป็นแพ็คคู่จริงไหม?
ใช่ครับ…เรียกว่ามาคู่กันแทบทุกเคสเลย
ส่วนใหญ่ หางตาตก มักมาพร้อมกับปัญหา “ริ้วรอย” และ “ตีนกา” เพราะเป็นบริเวณที่กล้ามเนื้อเคลื่อนไหวเยอะ ยิ้ม หัวเราะ ขมวดคิ้ว หรือแม้แต่นอนตะแคง ล้วนส่งผลทั้งนั้น เนื่องจากบริเวณหางตาเป็นจุดที่กล้ามเนื้อเคลื่อนไหวบ่อย โดยเฉพาะเวลายิ้ม หัวเราะ หรือขมวดคิ้ว ทำให้เกิด ริ้วรอย และ ตีนกา ได้ง่าย และเมื่ออายุเพิ่มขึ้น กล้ามเนื้อรอบหางตาจะอ่อนแรงลง ผิวก็หย่อนตามแรงโน้มถ่วง หางตาจึงเริ่มคล้อยลงตามมา
การมี ริ้วรอย และ ตีนกา เยอะ ๆ ยังทำให้ใบหน้าดูเหนื่อยและดูอายุเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน และถึงแม้จะฉีดโบท็อกซ์บ่อย ๆ ก็อาจช่วยแค่ช่วงสั้น ๆ ไม่ได้ช่วยยกโครงสร้างจริง
นั่นคือเหตุผลที่ทำไมต้องแก้ปัญหาด้วย Endoscopic Brow Lift และใช้วิธีเทคนิค Invisible Lock ในการซ่อนแผล ซึ่งการแก้ปัญหาหางตาตกที่หมอว่า มักต้องจัดการทั้งเรื่องผิว ริ้วรอย และโครงสร้างร่วมกันครับ
หางตาตกมีผลต่อการมองเห็นหรือไม่?
หางตาเกี่ยวกับการมองเห็นอย่างไร?
แม้หลายคนจะเข้าใจว่า หางตาตก เป็นแค่เรื่องความสวยความงาม แต่ความจริงแล้ว ถ้ามองตามกายวิภาค หางตาที่ตกลงต่ำสามารถมีผลต่อการมองเห็นในบางกรณีครับ
ถึงแม้หางตาอาจจะไม่ใช่จุดที่มีบทบาทโดยตรงกับการมองเห็นเช่น การโฟกัสภาพ แต่มีผล ทางอ้อม โดยเฉพาะเรื่อง “ขอบเขตการมองเห็นด้านข้าง (Peripheral Vision)”
หางตาตกมักเกิดร่วมกับความหย่อนคล้อยของหนังตาด้านข้าง หรือภาวะ “lateral hooding” ซึ่งผิวหนังบริเวณขอบตาด้านข้างจะพับย้อยลง จนล้ำเข้ามาในขอบภาพด้านข้างของการมองเห็น โดยเฉพาะเวลามองเฉียงหรือขณะขับรถ
ในเคสที่หางตาตกลงต่ำมาก อาจทำให้รู้สึกเหมือนมุมมอง “บัง ๆ” หรือมองเห็นน้อยลงช่วงด้านข้าง ซึ่งหากปล่อยไว้นานอาจพัฒนาไปสู่การหรี่ตาโดยไม่รู้ตัว ส่งผลให้เกิด ริ้วรอย ลึกขึ้น และทำให้เกิดความเครียดต่อกล้ามเนื้อตาเรื้อรัง
ถ้าหางตาตกมาก หรือผิวหนังหย่อนคล้อยมากจนบังส่วนข้างของดวงตา ก็อาจทำให้ขอบภาพด้านนอกเบลอหรือมืดลงได้ และผู้ป่วยบางคนรู้สึกว่าตาแห้ง หรือต้องลืมตากว้าง ๆ ตลอดเวลาเพื่อชดเชย
หางตาตกแล้วตาดูเศร้า เหนื่อย ง่วง จริงไหม?
จริงครับ และจุดนี้เป็น ปัญหาใหญ่ด้านบุคลิกภาพเลย จากประสบการณ์ของผมกับคนไข้จำนวนมาก สิ่งที่พบบ่อยคือ “คนไข้ดูเหนื่อย ทั้งที่ไม่ได้รู้สึกเหนื่อย” และมักโดนทักว่าดูง่วง ทั้งที่นอนมาเต็มที่แล้ว นี่คือผลของ หางตาตก ที่ส่งผลด้านภาพลักษณ์โดยตรง
เพราะเมื่อหางตาตกลง รูปทรงตาจะเปลี่ยนจากตาเปิดกว้าง เป็น “ตาแบบครึ่งปิด” ทำให้เกิดภาพรวมของใบหน้าที่ดูไม่กระฉับกระเฉง ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องสวยงาม แต่ส่งผลต่อความมั่นใจและการสื่อสาร
หมอขอยกตัวอย่างเช่น
ผู้หญิงหลายคนบอกหมอว่า “เวลาถ่ายรูป เหมือนหน้าไม่มีพลัง ไม่มีเอนเนอร์จี้”
ผู้ชายบางคนบอกว่า “เพื่อนทักว่าหน้าเหมือนคนนอนไม่พอตลอดเวลา”
และนี่คือสิ่งที่ทำให้ “หางตาตก” กลายเป็นหนึ่งในปัญหาเล็ก ๆ ที่มีผลกระทบทางจิตใจมากที่สุด
กรณีที่หางตาตกจนบดบัง “การมองเห็นขอบภาพด้านข้าง” มีจริงไหม?
คำตอบคือ เคสแบบนี้มีจริงครับ และพบในผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปที่มี “ผิวเปลือกตาบนหย่อนร่วมด้วย” ซึ่งอาจต้องพิจารณาทำร่วมกับการผ่าตัดเปิดหนังตาบนในบางราย
หรือในบางเคสที่มีโครงสร้างกระดูกเบ้าตาแคบอยู่แล้ว หากมี หนังตาส่วนข้างย้อยลง จนบดบังด้านข้าง จะเริ่มรู้สึกว่า “มองไม่เต็มภาพ” แม้จะไม่ได้มีโรคทางจอประสาทตาหรือสายตาโดยตรงก็ตาม
แต่วิธี Endoscopic Brow Lift ส่องกล้องยกคิ้ว จะสามารถช่วยให้โครงสร้างโดยรวมถูกยกขึ้น ผิวที่หย่อนก็ยกขึ้นตาม ทำให้ตาดูเปิดกว้างขึ้น และขอบภาพด้านข้างก็กลับมาชัดเจนขึ้นด้วยเช่นกัน
ในกรณีแบบนี้ ผมมักแนะนำให้คนไข้พิจารณาการทำ Endoscopic Brow Lift เพราะเป็นวิธีที่สามารถยกบริเวณหางคิ้วและหางตาขึ้นได้อย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยเทคนิคส่องกล้อง Endoscope สมัยใหม่ ที่มีความแม่นยำ ทำให้แผลมีขนาดเล็ก ฟื้นตัวไวโดยไม่ต้องเปิดแผลยาวเหมือนการผ่าตัดแบบเดิม อีกทั้งยังช่วยแก้ปัญหาหางตาตก หนังตาตก และลดริ้วรอยรอบดวงตาได้ในคราวเดียว เนื่องด้วยที่ BEAMS Plastic Surgery นั้น เราใส่ใจความต้องการของคนไข้ทุกราย ทุกคนอยากได้ความสวยงามที่เป็นธรรมาชาติและไม่ดูโป๊ะ เราจึงไม่ได้เพียงแค่ยกอย่างเดียว แต่จะมีการตัดกล้ามเนื้อที่ขมวดคิ้วเอาออกหมด โดยเลาะให้ออกจากกัน แล้วค่อยดึงที่ละส่วนอย่างประณีต รวมถึงการตัดกล้ามเนื้อตีนกาเอาออกที่พอดี เพื่อความเป็นธรรมชาติ พร้อมการใช้เทคนิคด้วย Invisible lock ซ่อนรอยแผลให้อยู่ในแนวผม จึงแทบมองไม่เห็นแผลจากภายนอก ลดการเสี่ยงเป็นแผลเป็น และทำให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ หน้าเด็กลง โดยที่โครงสร้างใบหน้าไม่เปลี่ยนไป” ครับ
สาเหตุของหางตาตก
หางตาตกตามวัย vs หางตาตกแต่กำเนิด
หางตาตกแต่กำเนิด พบได้น้อยกว่ามาก ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับโครงสร้างเบ้าตา หรือภาวะกล้ามเนื้อตายึดผิดปกติตั้งแต่เด็ก
แต่ที่พบได้บ่อยที่สุดคือ หางตาตกตามวัย ซึ่งเป็นผลสะสมจาก
- การเสื่อมของคอลลาเจนรอบเบ้าตา
- กล้ามเนื้อรอบดวงตา (orbicularis oculi) ที่อ่อนแรงลง
- ผิวหนังที่เสียความยืดหยุ่น และไขมันใต้ผิวบางลง
ซึ่งทั้งหมดนี้จะเร่งให้หางตา “ทิ้งตัวลง” ได้ชัดเจน โดยเฉพาะเมื่ออายุ 40+ ขึ้นไป
กล้ามเนื้อรอบดวงตาอ่อนแรง และความหย่อนคล้อยของผิวหนัง
จุดที่หลายคนมองข้ามคือ “ความอ่อนแรงของกล้ามเนื้อ orbicularis” ซึ่งเป็นวงกล้ามเนื้อรอบดวงตาที่ทำหน้าที่เปิด-ปิดตา สื่อสารทางอารมณ์ และควบคุมทิศทางของรูปตาโดยรวม เมื่อกล้ามเนื้อนี้เสื่อมลงตามวัย หรือใช้งานหนักโดยไม่มีการดูแล เช่น ขยี้ตาบ่อย นอนตะแคงซ้ำ ๆ หรือทำงานหน้าจอหนักตลอดวัน หางตาจะเริ่มตกได้ง่ายมากขึ้น
นอกจากนี้ เมื่อประกอบกับสภาพผิวหนังบริเวณขมับที่บางลงและหย่อนคล้อยตามธรรมชาติ ก็ยิ่งเร่งให้ปัญหานี้เกิดขึ้นเร็วยิ่งขึ้น และมักเห็นได้ชัดเจนในผู้ที่ไม่ค่อยได้ใส่ใจดูแลตัวเองตั้งแต่เนิ่น ๆ
แสงแดด การแสดงสีหน้า และพฤติกรรมที่เร่งให้หางตาตกไวขึ้น
นอกจากอายุและโครงสร้างแล้ว พฤติกรรมบางอย่างยังเป็นตัวเร่งให้ หางตาตก และเกิด ริ้วรอย กับ ตีนกา ได้เร็วกว่าปกติ เช่น:
- โดนแสงแดดจัดโดยไม่ใส่แว่นกันแดด
- ขยี้ตาแรง ๆ เป็นนิสัย
- ยิ้มตาหยี หรือหัวเราะแล้วขมวดตาแรงเป็นประจำ
- ใช้มือถือในท่าก้มจอ หรือนอนดูซีรีส์ตอนดึกบ่อย ๆ
หมอแนะนำว่าถ้าคุณเริ่มรู้สึกว่าหางตาตกแม้อายุยังไม่เยอะ ควรรีบดูแลและประเมินกับแพทย์ก่อนที่โครงสร้างจะเสียมากขึ้นครับ เพราะบางคนพอปล่อยไว้ก็ต้องยกหนักขึ้นโดยไม่รู้ตัว
วิธีแก้หางตาตกในปัจจุบัน
เมื่อพูดถึงการแก้ไขปัญหา “หางตาตก” หลายคนมักนึกถึงการผ่าตัดเปิดแผลขนาดใหญ่ หรือการฉีดโบท็อกซ์อย่างเดียว แต่จริง ๆ แล้วในทางการแพทย์ เรามีเทคนิคหลายระดับที่เหมาะกับแต่ละเคสแตกต่างกันไป ซึ่งจะแบ่งเป็น 2 แนวทางหลักๆ โดยหมอจะขอเปรียบเทียบวิธีไม่ผ่าตัด เช่น Botox, HIFU, Filler กับวิธีการผ่าตัดทั้งแบบเปิด และแบบใหม่ล่าสุด Endoscopic Brow Lift + Invisible Lock ที่ BEAMS Plastic Surgery ครับ
วิธีไม่ผ่าตัด : ไม่ต้องพักฟื้นแต่ได้ผลลัพธ์ระยะสั้น
สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มมีหางตาตกเล็กน้อย และยังไม่มีริ้วรอยหรือรอยพับลึกมาก อาจเริ่มจากทางเลือกแบบไม่ผ่าตัดก่อน ซึ่งมีดังนี้
1. Botox ยกหางตา
Botox ทำงานโดยการลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อที่ดึงหางคิ้วและหางตาลง โดยแพทย์จะฉีดบริเวณหางตาหรือขมับ เพื่อให้หางคิ้วถูกดึงขึ้นเล็กน้อย และลดแรงตึงที่ทำให้เกิดตีนกา
ข้อดี: เห็นผลไว ใช้เวลาทำไม่นาน ไม่ต้องพักฟื้น
ข้อจำกัด: ผลอยู่ได้ราว 3-6 เดือน และยกได้ประมาณ 1-3 มิลลิเมตรเท่านั้น
2. HIFU / Ultherapy กระตุ้นคอลลาเจน
เทคโนโลยีคลื่นเสียงความเข้มสูง ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนังบริเวณหางตาและขมับ ทำให้ผิวกระชับขึ้นและลดความหย่อนคล้อยได้เล็กน้อยในเคสที่ยังไม่มาก
ข้อดี: ไม่มีแผล ไม่ต้องฉีด
ข้อจำกัด: ต้องทำต่อเนื่องหลายครั้ง ผลลัพธ์ไม่ถาวร
3. Filler เติมใต้หางตา
การเติม Filler บริเวณใต้หางตาหรือขมับในบางเคส อาจช่วยดันเนื้อบริเวณนั้นให้ดูยกขึ้นได้ชั่วคราว โดยเฉพาะในคนที่ผิวบางหรือมีเบ้าตาลึก
ข้อดี: เห็นผลทันที เติมแต่งได้เฉพาะจุด
ข้อจำกัด: ไม่เหมาะกับเคสที่มีการหย่อนคล้อยของโครงสร้างมาก เพราะไม่ได้ “ยก” จริง ๆ
วิธีผ่าตัด : ต้องฟื้นแต่ได้ผลลัพธ์ระยะยาว
หากคุณมี หางตาตก ที่ชัดเจน หรือมีริ้วรอยและตีนกาจำนวนมาก การรักษาแบบไม่ผ่าตัดอาจไม่เพียงพอ ซึ่งแนวทางการผ่าตัดจะตอบโจทย์ในระยะยาวมากกว่า โดยแบ่งได้ 2 แบบหลัก:
1. การกรีดหางตา (Lateral Canthoplasty)
เป็นการเปิดแผลตรงหางตา เพื่อยกหางตาโดยตรง และตัดผิวหนังส่วนเกินที่ตกลงมาทิ้งไป วิธีนี้เหมาะกับบางเคส เช่น เคสที่ตาเฉียงมากหรือมีปัญหากล้ามเนื้อตาโดยตรง
ข้อดี: เห็นผลทันที
ข้อเสีย: มีแผลชัดเจน หายยาก อาจเปลี่ยนรูปร่างตา
2. Endoscopic Brow Lift ส่องกล้องยกคิ้ว
นี่คือวิธีที่ BEAMS Plastic Surgery ซึ่งศัลยแพทย์ตกแต่งเฉพาะทางเลือกใช้เป็นหลักในการยกหางตา โดยใช้กล้อง Endoscopic ที่มีความคมชัด ระดับ 4K และมีขนาดเล็ก ส่องเข้าไปทางแผลที่ซ่อนในไรผม (ประมาณเพียง 1-2 ซม.) โดยไม่ต้องเปิดแผลที่หางตาเลย จากนั้นจะยกหางคิ้วขึ้นในแนวที่ต้องการ ซึ่งผลลัพธ์คือ
- หางตายกขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ดูสวยไม่โป๊ะ
- ลดริ้วรอยและตีนกา อย่างเห็นได้ชัด รวมถึงร่องขมวดคิ้ว
- ตาเปิดขึ้น สวย สดใส แต่ยังคงรูปตาเดิม
- ได้ผลนาน 5-10 ปี
ภาพประกอบการโฆษณาเท่านั้น
เทคนิคซ่อนแผล Invisible Lock ยกหางตาแบบไม่มีแผลเห็น ที่ BEAMS Plastic Surgery
จุดเด่นของ Invisible Lock (ซ่อนแผล / ยึดลึก / ยกนาน)
Invisible Lock คือเทคนิคที่หมอบีมคิดค้นและ พัฒนาขึ้น เพื่อให้การ “ส่องกล้องยกคิ้ว” ได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น โดยมีจุดเด่น 4 อย่าง:
- ซ่อนรอยแผลไว้ตามแนวไรผมอย่างแนบเนียน จนแทบมองไม่เห็นจากภายนอก
- ช่วยลดโอกาสการเกิดแผลนูน / คีลอยด์
- ลดโอกาสผมร่วงเฉพาะจุด หรือ หัวล้านบริเวณไรผม ถ้าไม่มีการวางแผนดีๆ อาจทำให้มีปัญหาเช่น ผมไม่ขึ้น, ผมบางเป็นหย่อมๆ ได้
- คนรอบตัวก็แทบไม่รู้เลยว่าไปทำอะไรมาสวยขึ้น ดูเป็นธรรมชาติ ไม่โป๊ะ ทำให้คนไข้มั่นใจมากขึ้น ทั้งในชีวิตประจำวันและในระยะยาว
เทคนิคนี้เหมาะกับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ธรรมชาติ ไม่มีรอยแผล และคงทนในระยะยาว
Invisible Lock ยังใช้กับทุกหัตถการเกี่ยวกับโครงหน้า ที่ BEAMS Plastic Surgery
ไม่ใช่แค่การยกหางคิ้วเท่านั้นนะครับ การดึงหน้า ที่ BEAMS Plastic Surgery เราก็นำเทคนิค Invisible Lock นี้มาปรับใช้ในการ หัตถการอื่นๆ ด้วยเช่นกัน เป็นเทคนิคเอกสิทธิ์เดียวของเรา เพื่อช่วยให้
- ซ่อนแผลไว้แนบชิดกับไรผมและหลังใบหู
- รอยแผลจางไว
- ลดรอยแผลที่เห็นได้ชัด ด้วยการดึงหน้าแบบใหม่
เพราะเราเชื่อว่า “ผลลัพธ์ที่สวย แผลต้องไม่เห็น”
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการแก้หางตาตก
แก้หางตาตกแล้วจะตาเปลี่ยนไปไหม?
เป็นอีกหนึ่งคำถามที่คนไข้หลายคนถามหมอครับ “ถ้าทำแล้ว ตาจะเปลี่ยนไปไหมคะหมอ?”
คำตอบคือ “ไม่เปลี่ยน” ครับ ไม่ต้องกังวล เพราะ Endoscopic Brow Lift เป็นเทคนิคที่ยกบริเวณ แนวคิ้วและหน้าผากส่วนบน ขึ้นโดยไม่ยุ่งกับขอบตาโดยตรง
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ หางตาที่ตกจะดูยกขึ้น ซึ่งทำให้ตาดูเปิดมากขึ้น หน้าเด็ก สดใสขึ้น และพอเรายกผิวหนังบริเวณนี้ขึ้น ริ้วรอยและตีนกาก็จะลดลงไปด้วยโดยไม่ต้องฉีดเพิ่ม
ผลลัพธ์จะเป็นธรรมชาติ ไม่ทำให้ตาดูกลมหรือเปลี่ยนโครงสร้างตาแบบที่หลายคนกลัวครับ
อ่านต่องานวิจัย.. เทคนิคส่องกล้อง
ตัวอย่างงานวิจัย ภาพ Before / After หญิงวัย 43 ยกคิ้วส่องกล้อง
ทำไมต้องเลือกส่องกล้องยกคิ้วแทนการกรีดหางตา?
เทคนิคเปิดแผลบริเวณหางตาเป็นวิธีที่ใช้กันมานานครับ โดยเฉพาะในอดีต แต่มีข้อจำกัดบางอย่าง เช่น
- อาจทำให้เกิดแผลเป็นเล็ก ๆ ที่หางตา
- มีโอกาสที่หางตาจะ “ชี้ขึ้น” อย่างไม่เป็นธรรมชาติ
- ผลลัพธ์บางครั้งอาจดูแข็งเกินไป
ในขณะที่การ “ยกคิ้วแบบส่องกล้อง” หรือ Endoscopic Brow Lift นั้น
- ไม่เปิดแผลที่หางตาเลย
- เปิดแผลเล็กเพียง 1-2 เซนติเมตรในไรผม
- ใช้กล้องช่วยดูเนื้อเยื่อ ทำให้ยกได้ละเอียดและแม่นยำ
- ฟื้นตัวเร็ว แผลเล็ก แทบมองไม่เห็น
- และที่สำคัญที่สุด: ผลลัพธ์ดู “เป็นตัวเราในเวอร์ชั่นที่ดีกว่าเดิม” ไม่ดูเป็นคนอื่น
การยกคิ้วด้วยวิธี Endoscopic กับ Open technique พบว่า Endoscopic ให้ผลลัพธ์การยกที่แม่นยำกว่า มีอัตราแผลเป็นน้อยกว่า และคนไข้พึงพอใจมากกว่าในระยะยาว
ทำแล้วจะอยู่ได้นานกี่ปี? ต้องทำซ้ำไหม?
เทคนิค Endoscopic Brow Lift มีอายุผลลัพธ์เฉลี่ย 5-10ปี ขึ้นกับปัจจัยแต่ละคนครับ เช่น
- พฤติกรรมการใช้กล้ามเนื้อใบหน้า
- การดูแลตัวเองหลังผ่าตัด
- อายุ และโครงสร้างผิว
คนที่ดูแลตัวเองดี ไม่ดึงหน้าแรง ๆ ไม่ขยี้ตาบ่อย หรือไม่อยู่กลางแดดนาน ๆ ก็สามารถยืดอายุผลลัพธ์ให้อยู่ได้นานกว่านั้นอีกครับ ไม่จำเป็นต้องทำซ้ำบ่อย และส่วนใหญ่ที่ผมเจอ คนไข้จะกลับมาในอีก 10 ปี เพื่อเติมจุดอื่น ๆ มากกว่าจะมายกคิ้วซ้ำครับ
สรุปเกี่ยวกับหางตาตกทำไงดี? มีผลต่อการมองเห็นไหม? แก้ได้ด้วยวิธีส่องกล้องยกคิ้ว ที่ BEAMS Plastic Surgery
หางตาตกเป็นปัญหาที่หลายคนมองข้าม แต่จริง ๆ แล้วมันมีผลกระทบทั้งด้านความสวยงามและการมองเห็น ด้วยสาเหตุต่าง ๆ เช่น การหย่อนคล้อยของผิวหนัง กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือแม้แต่การแสดงสีหน้าต่าง ๆ ที่เราทำบ่อย ๆ ซึ่งอาจทำให้ดวงตาดูเหนื่อยล้าและทำให้ใบหน้าดูแก่เกินวัย นอกจากนี้การหางตาตกยังสามารถส่งผลต่อการมองเห็น โดยเฉพาะในส่วนของขอบภาพด้านข้างที่อาจถูกบดบังได้
วิธีแก้ไขที่ได้ผลและได้รับการยอมรับมากที่สุด ที่ BEAMS Plastic Surgery คือ การส่องกล้องยกคิ้ว (Endoscopic Brow Lift) ซึ่งเป็นเทคนิคที่มีความปลอดภัยสูงและให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ โดยไม่จำเป็นต้องเปิดแผลที่หางตา เทคนิคนี้ช่วยยกหางตาขึ้น ฟื้นฟูริ้วรอยและตีนกาได้อย่างตรงจุด และไม่เปลี่ยนแปลงรูปตาหรือทำให้ใบหน้าดูแข็งเกินไป
หากคุณกำลังมองหาวิธีแก้ปัญหาหางตาตกอย่างได้ผลและปลอดภัย ไม่ต้องกังวลเรื่องการเปลี่ยนรูปตาหรือรอยแผลที่ชัดเจน ด้วยเทคนิค Endoscopic Brow Lift และเทคนิค “Invisible Lock” ที่ออกแบบมาเพื่อคนไทยโดยเฉพาะ จะช่วยให้คุณกลับมามีใบหน้าที่สดใสและดูอ่อนเยาว์เหมือนเดิมได้อีกครั้งครับ
คุณสามารถปรึกษาคุณหมอเฉพาะทางและเข้าใจโครงสร้างใบหน้าเฉพาะบุคคล ที่ BEAMS Plastic Surgery ได้ทุกช่องทางเลยนะครับ หรือคลิก https://lin.ee/2sPBqNx
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการแก้หางตาตก
Q: การยกคิ้วส่องกล้องมีข้อดีอะไรบ้าง?
A: การยกคิ้วด้วยเทคนิคส่องกล้อง (Endoscopic Brow Lift) มีข้อดีหลายประการ เช่น:
- แผลน้อย: ใช้แผลขนาดเล็กและซ่อนแผลไว้ในเส้นผม
- ฟื้นตัวเร็ว: ฟื้นตัวได้เร็วกว่าเทคนิคเปิดแผลใหญ่
- ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติ: สามารถยกคิ้วและแก้หางตาตกโดยไม่ทำให้ใบหน้าเปลี่ยนไปจากเดิม
- ไม่เห็นแผล: ไม่ต้องเปิดแผลใหญ่ที่ใบหน้า ทำให้ไม่เห็นแผลเป็น
Q: หลังจากทำการยกคิ้วส่องกล้องแล้วต้องดูแลอย่างไร?
A: หลังการทำการยกคิ้วส่องกล้อง, ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ซึ่งรวมถึง:
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสแผลโดยตรง
- ใช้ยาหรือครีมตามที่แพทย์สั่ง
- หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่ทำให้มีเหงื่อออกมากในช่วงแรก
- งดการนอนคว่ำหรือการกดทับใบหน้าในช่วงแรก
Q: การยกคิ้วส่องกล้องสามารถช่วยแก้ปัญหาหางตาตกและริ้วรอยได้พร้อมกันหรือไม่?
A: ใช่ครับ การยกคิ้วส่องกล้องไม่เพียงแต่ช่วยแก้ปัญหาหางตาตก แต่ยังสามารถช่วยลดริ้วรอยบนหน้าผากหรือบริเวณรอบๆ คิ้วได้ด้วย เนื่องจากการยกคิ้วช่วยกระชับผิวหนังและกล้ามเนื้อบริเวณนั้นให้ยืดหยุ่นขึ้น
Q: หลังทำการยกคิ้วส่องกล้องสามารถกลับไปทำงานได้เมื่อไร?
A: การฟื้นตัวจากการทำยกคิ้วส่องกล้องมักใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลและการดูแลตัวเองในช่วงฟื้นฟู โดยทั่วไปแล้วสามารถกลับไปทำงานได้ภายใน 1 สัปดาห์หลังการทำการรักษา แต่บางคนอาจจะมีอาการบวมและฟกช้ำเล็กน้อยในช่วงแรก