หางตาตก แก้ยังไง? รวมวิธีรักษาง่าย ๆ ไม่ต้องผ่าตัด

หลายคนสงสัยว่า ‘หางตาตก แก้ยังไง?’ หลายคนอาจคิดว่าหางตาตกเป็นเรื่องปกติที่เลี่ยงไม่ได้ แต่ความจริงคือ หางตาตกเกิดจากหลายปัจจัยที่เราสามารถดูแลและแก้ไขได้ หากปล่อยไว้นาน อาจทำให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้า และในบางกรณียังส่งผลกระทบต่อการมองเห็นด้วย บทความนี้เราจะพาไปรู้จักกับปัญหา “หางตาตก” อย่างลึกซึ้ง ว่าส่งผลอย่างไรกับชีวิตประจำวัน มีวิธีแก้อย่างไรค่ะ

 รู้จักกับปัญหาหางตาตก

หลายคนอาจเคยสังเกตว่าหางตาของตัวเองเริ่มตกลง ทำให้ใบหน้าดูเศร้าหรือเหนื่อยล้าโดยไม่รู้ตัว ปัญหาหางตาตก หรือที่บางคนเรียกว่า “ตาตก” เกิดจากหลายสาเหตุที่เกี่ยวกับกล้ามเนื้อ หนังผิว และกระดูกเบ้าตา โดยอาการนี้ส่งผลต่อความสวยงามและบางครั้งอาจส่งผลกระทบต่อการมองเห็นด้วย

หางตาตกคืออะไร?

หางตาตก คือภาวะที่หางตาหรือคิ้วด้านนอกมีลักษณะลู่ต่ำกว่าระดับปกติ อาจเกิดจากการเสื่อมของกล้ามเนื้อ ความหย่อนคล้อยของผิวหนังบริเวณหน้าผากและหางตา รวมถึงพฤติกรรมบางอย่าง เช่น ขยี้ตาแรง ๆ การแสดงสีหน้า หรือแม้แต่การนอนคว่ำเป็นประจำก็มีส่วนทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนี้อ่อนแรงลงได้

หางตาตกไม่ได้ส่งผลเฉพาะด้านความสวยงามเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อการมองเห็น ความมั่นใจ และอาจเป็นสัญญาณของความเสื่อมตามวัย

ปัญหาที่ตามมาเมื่อหางตาตก

  • หน้าดูเศร้า ไม่สดใส แม้จะนอนเพียงพอ ใบหน้าก็ดูอ่อนแรง ดูไม่สดชื่น
  • แต่งตายาก เขียนอายไลเนอร์แล้วเบี้ยว ไม่เท่ากัน
  • ตีนกาและริ้วรอยบริเวณหางตาชัดขึ้น เพราะผิวห้อยลงจนเกิดรอยพับซ้ำ ๆ
  • บางคนมีผลต่อการมองเห็น โดยเฉพาะเมื่อคิ้วและหนังตาตกลงมาปิดส่วนขอบตาด้านนอก

หางตาตก แก้ด้วยอะไรได้บ้าง?

มีหลายวิธีให้เลือกแก้ปัญหาหางตาตก ตั้งแต่ระดับเบาไปจนถึงหนัก ซึ่งแต่ละวิธีก็มีข้อดี ข้อจำกัด และความเหมาะสมที่ต่างกัน เรามาเปรียบเทียบเชิงลึกกัน

ปรับพฤติกรรมและการดูแลเบื้องต้น

การปรับพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ ร่วมกับการดูแลผิว สามารถช่วยชะลอหรือบรรเทาอาการหางตาตกได้ในระดับหนึ่ง

  • ป้องกันแสงแดด: แสงแดดและรังสียูวีเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผิวหนังเสื่อมสภาพ ควรทาครีมกันแดดบริเวณรอบดวงตาและใส่แว่นกันแดดเมื่อออกแดด
  • บำรุงผิวรอบดวงตา: ใช้ครีมบำรุงรอบดวงตาที่มีส่วนผสมที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เช่น เรตินอล เปปไทด์ หรือสารต้านอนุมูลอิสระ
  • พักผ่อนให้เพียงพอ: การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพออาจทำให้ผิวหนังหย่อนคล้อยและเกิดริ้วรอยได้ง่าย
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์: เน้นอาหารที่มีวิตามินซี วิตามินอี และโอเมก้า 3 ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและช่วยบำรุงผิว
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ: ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและยืดหยุ่น
  • หลีกเลี่ยงการขยี้: การขยี้ตาบ่อย ๆ  จะไปทำลายโครงสร้างของคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวหนัง
    สูญเสียความยืดหยุ่นและหย่อนคล้อยลง เป็นผลเสียต่อผิวหนังรอบดวงตาทำให้เกิดปัญหาหางตาตก

วิธีแก้แบบไม่ผ่าตัด

  • การฉีดสารคลายกล้ามเนื้อ (Botox): เป็นวิธีที่ได้รับความนิยม โดยการฉีดโบท็อกซ์ไปที่กล้ามเนื้อบางส่วนบริเวณหางตา เพื่อคลายกล้ามเนื้อที่ดึงหางตาให้ตกลง ทำให้หางตายกขึ้นเล็กน้อย ดูเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหางตาตกไม่มากนัก ผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 3-6 เดือน
  • การฉีดฟิลเลอร์: สามารถใช้ฟิลเลอร์ฉีดบริเวณใต้คิ้วหรือขมับเพื่อช่วยพยุงและยกแนวคิ้วขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้หางตายกตามขึ้นไปด้วย โดยเฉพาะฟิลเลอร์บางชนิดเช่น Sculptra ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวบริเวณนั้นมีความกระชับและอิ่มฟูขึ้น
  • การใช้เครื่องยกกระชับผิว: เช่น Ulthera, Hifu, Thermage เป็นนวัตกรรมที่ใช้พลังงานความร้อนหรือคลื่นวิทยุไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวบริเวณหางตาและรอบดวงตากระชับขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหางตาตกในระดับเบาถึงปานกลาง
  • ยาหยอดตา: ในบางกรณีที่หางตาตกเกิดจากกล้ามเนื้อเปลือกตาอ่อนแรง (Ptosis) แพทย์อาจพิจารณาให้ใช้ยาหยอดตาที่มีส่วนผสมของ Oxymetazoline ซึ่งจะช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อเปลือกตาให้ยกขึ้นชั่วคราว
    **คำเตือน ข้อนี้เฉพาะเป็นการวินิฉัยของแพทย์เท่านั้น ห้ามซื้อมาใช้เองนะคะ**
  • การแต่งหน้า: สามารถใช้เทคนิคการแต่งหน้าเพื่อช่วยอำพรางหางตาตกให้ดูยกขึ้นได้ชั่วคราว เช่น การเขียนอายไลเนอร์แบบยกหางตา หรือการใช้คอนทัวร์และไฮไลท์ช่วยปรับรูปหน้า
  • การบริหารดวงตาและการนวด: การบริหารกล้ามเนื้อรอบดวงตาอย่างสม่ำเสมอ เช่น การกลอกตาไปมา การเลิกคิ้วค้างไว้ การหลับตาแน่นๆ ค้างไว้ หรือการนวดเบาๆ รอบดวงตา สามารถช่วยให้กล้ามเนื้อตาแข็งแรงขึ้นและเพิ่มการไหลเวียนโลหิตได้ อย่างไรก็ตาม วิธีนี้อาจให้ผลลัพธ์ไม่ชัดเจนเท่าวิธีอื่นๆ และต้องทำเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง

วิธีแก้แบบผ่าตัด

  • การทำ Subbrow Lift: เป็นการผ่าตัดยกกระชับเปลือกตาบน โดยจะทำการซ่อนแผลผ่าตัดไว้บริเวณใต้ท้องคิ้ว ทำให้รอยแผลแทบมองไม่เห็นเมื่อหายสนิท เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหางตาตกหรือหนังตาตกทับชั้นตา ต้องการให้ชั้นตาชัดขึ้น และลดรอยตีนกาบริเวณหางตา
  • การทำตาสองชั้น: ในบางกรณีที่หางตาตกสัมพันธ์กับปัญหาหนังตาเกินหรือหนังตาหย่อนคล้อย การทำตาสองชั้นร่วมกับการตัดหนังตาส่วนเกินออกไป สามารถช่วยยกหางตาให้ดูยกขึ้นได้ และทำให้ชั้นตาดูชัดเจนขึ้น
  • การศัลยกรรมยกหางตา: เป็นการผ่าตัดเพื่อกระชับและปรับตำแหน่งของเส้นเอ็นบริเวณหางตา ซึ่งช่วยพยุงและกำหนดรูปร่างของเปลือกตา วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหางตาตกอย่างรุนแรง หรือต้องการปรับรูปทรงดวงตาให้ดูเฉี่ยวขึ้น
  • การผ่าตัดแก้ไขกล้ามเนื้อเปลือกตา (Ptosis Repair): หากหางตาตกเกิดจากกล้ามเนื้อเปลือกตาอ่อนแรงโดยตรง (Ptosis) แพทย์อาจทำการผ่าตัดเพื่อกระชับกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ยกเปลือกตาให้แข็งแรงขึ้น เพื่อให้สามารถลืมตาได้เต็มที่มากขึ้น
  • การส่องกล้องยกคิ้ว (Endo Brow lift): ในบางรายที่คิ้วตกมากและส่งผลให้หางตาตกลงมาด้วย การผ่าตัดยกคิ้วสามารถช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้ โดยจะช่วยยกคิ้วให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ซึ่งจะส่งผลให้หางตายกขึ้นตามไปด้วย

*ซึ่งในปัจจุบันมีเทคนิคผ่าตัดแบบใหม่ที่ลดข้อจำกัดนี้ได้ นั่นคือ “Endo-brow lift” ที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ

การเลือกวิธีที่เหมาะสมที่สุดควรปรึกษาจักษุแพทย์ หรือศัลยแพทย์ตกแต่งผู้เชี่ยวชาญด้านดวงตา เพื่อประเมินสาเหตุ ความรุนแรงของปัญหา และสภาพผิวของแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและปลอดภัยค่ะ

 สิ่งที่คนไข้มักเข้าใจผิดเกี่ยวกับหางตาตก

  • คิดว่าหางตาตกแก้ได้ด้วยโบท็อกซ์อย่างเดียว
    โบท็อกซ์ช่วยลดริ้วรอยรอบตาได้ แต่ไม่สามารถยกหางตาที่ตกจริง ๆ ได้ ต้องใช้วิธีอื่นร่วมด้วย
  • เชื่อว่าการนวดจะช่วยยกหางตาได้ถาวร
    การนวดช่วยได้แค่ระยะสั้นและในระดับเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ใช่การแก้ปัญหาหางตาตกอย่างถาวร
  • กลัวการผ่าตัดใหญ่เพราะคิดว่าจะต้องเจ็บมากและพักฟื้นนาน
    ด้วยเทคนิคส่องกล้องยกคิ้ว Endo-brow lift “แผลเล็ก ฟื้นตัวไว และไม่จำเป็นต้องโกนผม”
  • คิดว่าแค่เติมฟิลเลอร์ก็ช่วยยกหางตาได้
    ฟิลเลอร์ช่วยเติมเต็มร่องลึกได้ แต่ไม่ช่วยยกหางตาที่ตกลงจริง ๆ
  • กลัวแผลเป็นจะเห็นชัดหลังทำศัลยกรรม
    เทคนิคส่องกล้องทำให้แผลซ่อนในไรผม และแทบมองไม่เห็นหลังผ่าตัด

หางตาตกแก้ได้แบบไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ จริงหรือ?

หลายคนกังวลว่าการแก้ปัญหาหางตาตกจะต้องใช้การผ่าตัดใหญ่ มีรอยแผลชัด หรือพักฟื้นนาน แต่ด้วยเทคนิค Endoscopic Brow Lift คุณสามารถยกคิ้วและหางตาได้ โดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ ไม่เห็นแผล และไม่ต้องโกนผม แถมยังได้ผลลัพธ์ที่ดูอ่อนวัยขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เทคนิคนี้จึงเหมาะกับทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ที่อยากยกหางตาแบบดูไม่ออกว่าไปทำศัลยกรรมมา

ขอดูเคสรีวิวจริง [คลิกที่นี่] 

Case Study: หางตาตก แก้แล้วใบหน้าดุสดใสขึ้นทันที

“แค่ 14 วันหลังทำ ผลลัพธ์ดีเกินคาดค่ะ พี่ให้โจทย์คุณหมอไป อยากดึงหน้าแบบธรรมชาติที่สุด และปัญหาทั้งหมดต้องหายไป ทุกอย่างเป็นไปตามที่ตั้งใจไว้ตอนแรกจริงๆ ปัญหาที่เคยกังวลก่อนหน้านี้หายไปหมดเลย
มีแต่คนชมว่าแผลสวยมาก ดีใจมากที่เลือกไม่ผิด ทุกคนน่ารัก ไม่ใช่แค่คุณหมอบีมเท่านั้นที่ดูแลดี แต่น้องๆ ทีมคุณหมอก็ให้คำปรึกษาและดูแลพี่อย่างใกล้ชิด ประทับใจและแฮปปี้มากค่ะ” — คุณอาย อายุ 45 ปี

แก้หางตาตก ด้วยส่องกล้องยกคิ้ว

ภาพประกอบการโฆษณาเท่านั้น

สรุปหางตาตก แก้ยังไง?

หางตาตก สามารถแก้ไขได้หลายวิธี ตั้งแต่ปรับพฤติกรรมธรรมชาติไปจนถึงการผ่าตัด แต่ถ้าต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจน เป็นธรรมชาติ และฟื้นตัวเร็ว Endo-brow lift คือเทคนิคที่ดีที่สุดในยุคนี้ ด้วยข้อดีเรื่องแผลเล็ก ซ่อนแผลดี ฟื้นตัวไว และผลลัพธ์ยาวนาน หากคุณมีปัญหาหางตาตก อย่าลังเลที่จะปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมกับคุณ

ติดต่อสอบถาม ปรึกษาปัญหาโครงหน้า สามารถติดต่อ  BEAMS Plastic Surgery ได้ทุกช่องทางเลยนะคะ

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q: หางตาตกเล็กน้อย จำเป็นต้องผ่าตัดเลยไหม?
A: ไม่จำเป็นเสมอไปค่ะ ถ้าหางตาตกเพียงเล็กน้อย อาจเริ่มจากวิธีเบา ๆ เช่น HIFU หรือโบท็อกซ์ได้ แต่หากเริ่มส่งผลต่อภาพลักษณ์หรือการมองเห็น การทำ Endo-brow lift จะให้ผลลัพธ์ชัดเจนและคุ้มค่ากว่า


Q: เจ็บไหม? ต้องพักฟื้นนานแค่ไหน?
A: ระหว่างทำไม่เจ็บค่ะ เพราะใช้ยาชาเฉพาะที่ หรือยาสลบแบบอ่อน หลังทำอาจมีบวมเพียง 3–5 วัน และกลับมาใช้ชีวิตได้ภายใน 1 สัปดาห์


Q: จะเห็นแผลไหม? ต้องโกนผมหรือไม่?
A: ไม่ต้องโกนผมค่ะ และแผลจะซ่อนอยู่ในไรผม ขนาดเล็กเพียง 1–1.5 ซม. เท่านั้น มองไม่เห็นเลยเมื่อผมขึ้นปิด


Q: ผู้ชายทำได้ไหม?
A: ผู้ชายสามารถทำได้แน่นอนค่ะ เพราะเทคนิคนี้ไม่ทิ้งแผลให้เห็นจากด้านหน้า ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ ไม่ดูตึงจนคนทัก

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

กรอกข้อมูล ให้เราติดต่อกลับ

Becoming Your Best Self

เข้าใจทุกความกังวลและปัญหาผิวพรรณของคุณ
ด้วยการรักษาที่ออกแบบเฉพาะบุคคล