ภาพประกอบการโฆษณาเท่านั้น
ส่องกระจกแล้วรู้สึกดวงตาทั้งสองข้างดูไม่เท่ากัน ทำให้ใบหน้าโดยรวมดูเหนื่อยล้า ไม่สดใส เหมือนคนง่วงนอนตลอดเวลา ปัญหาเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของโรคตาขี้เกียจ (Lazy Eye) ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องความสวยงาม แต่อาจส่งผลต่อการมองเห็นในระยะยาวได้ แล้วเราจะทำอย่างไรดี? วันนี้หมอบีมได้รวบรวมข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับภาวะตาขี้เกียจ ตั้งแต่สาเหตุ อาการที่สังเกตได้ ไปจนถึงแนวทางการรักษาที่ถูกต้อง เพื่อให้คุณเข้าใจและรับมือกับปัญหานี้ได้อย่างมั่นใจค่ะ
โรคตาขี้เกียจคืออะไร
โรคตาขี้เกียจ (Amblyopia) คือ ภาวะที่การมองเห็นของดวงตาข้างหนึ่งพัฒนาได้ไม่เต็มที่ ทำให้ความสามารถในการมองเห็นของตาข้างนั้นด้อยกว่าปกติ แม้จะใส่แว่นสายตาแล้วก็ตาม โดยปัญหานี้ไม่ได้เกิดจากความผิดปกติของโครงสร้างลูกตาโดยตรง แต่เกิดจากสมองเลือกที่จะรับสัญญาณภาพจากตาข้างที่มองเห็นชัดกว่า และละเลยสัญญาณจากตาข้างที่มองเห็นแย่กว่าไปเรื่อยๆ จนทำให้ตาข้างนั้น “ขี้เกียจ” ที่จะทำงานนั่นเอง
สาเหตุหลักของโรคตาขี้เกียจ เกิดจากอะไรได้บ้าง?
สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคตาขี้เกียจคืออะไรก็ตามที่ขัดขวางการมองเห็นที่คมชัดของดวงตาข้างใดข้างหนึ่งในช่วงวัยเด็ก ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญของการพัฒนาการมองเห็น โดยสาเหตุหลักๆ สามารถแบ่งออกได้ดังนี้ค่ะ
ภาวะตาเหล่ ตาเข (Strabismus)
เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดของโรคตาขี้เกียจค่ะ ภาวะนี้เกิดจากกล้ามเนื้อตาทำงานไม่สมดุล ทำให้ตาทั้งสองข้างไม่มองไปยังทิศทางเดียวกัน เมื่อตาข้างหนึ่งตรงแต่อีกข้างเหล่เข้าหรือเหล่ออก สมองจะเลือกตัดสัญญาณภาพจากตาข้างที่เหล่ เพื่อป้องกันการมองเห็นภาพซ้อน ส่งผลให้ตาข้างนั้นไม่ถูกใช้งานและกลายเป็นตาขี้เกียจในที่สุด
ปัญหาสายตาผิดปกติที่ไม่เท่ากัน (Refractive Errors)
ภาวะนี้คือการที่ตาสองข้างมีค่าสายตาต่างกันมาก เช่น ข้างหนึ่งสายตาสั้นหรือยาวกว่าอีกข้างมาก หรือมีสายตาเอียงไม่เท่ากัน ทำให้สมองเลือกรับภาพจากตาข้างที่มองเห็นชัดกว่า และเพิกเฉยต่อภาพเบลอ ๆ จากตาอีกข้างหนึ่ง การเพิกเฉยอย่างต่อเนื่องนี้เองที่นำไปสู่การเกิดโรคตาขี้เกียจ
ภาวะที่บดบังการมองเห็น (Deprivation Amblyopia)
เป็นภาวะที่เกิดจากมีอะไรบางอย่างมาบดบังการมองเห็นของตาข้างใดข้างหนึ่งอย่างถาวร เช่น ภาวะเปลือกตาตก (Ptosis) ที่ลงมาปิดรูม่านตา, ต้อกระจกแต่กำเนิด (Congenital Cataract) หรือมีแผลเป็นที่กระจกตา ทำให้แสงไม่สามารถผ่านเข้าไปกระตุ้นจอประสาทตาได้อย่างเต็มที่ สมองจึงไม่รับสัญญาณภาพจากตาข้างนั้นและก่อให้เกิดโรคตาขี้เกียจที่รุนแรงได้
ภาพประกอบการโฆษณาเท่านั้น
อาการของโรคตาขี้เกียจ สังเกตได้อย่างไร?
อาการของโรคตาขี้เกียจอาจสังเกตได้ยาก โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่ไม่สามารถบอกความผิดปกติของตัวเองได้ แต่ผู้ปกครองหรือคนใกล้ชิดสามารถสังเกตสัญญาณเตือนเบื้องต้นได้ดังนี้ค่ะ
- มองเห็นตาข้างหนึ่งเหล่เข้า เหล่ออก หรือลอยขึ้นบนอย่างชัดเจน
- ต้องหรี่ตาหรือเอียงศีรษะเพื่อจะมองให้ชัดขึ้น
- เดินชนขอบโต๊ะหรือสิ่งของบ่อย ๆ เพราะกะระยะความลึกได้ไม่ดี
- มีปัญหาในการอ่านหนังสือ หรือการเรียนรู้ในห้องเรียน
- เมื่อลองปิดตาข้างหนึ่ง จะมีอาการหงุดหงิด หรือพยายามดึงมือออก เพราะตาข้างที่เหลืออยู่มองไม่ชัด
- ผลการตรวจวัดสายตาจากโรงเรียนพบว่าการมองเห็นของตาสองข้างไม่เท่ากัน
ใครคือกลุ่มเสี่ยงของภาวะตาขี้เกียจ?
โรคตาขี้เกียจสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่จะมีปัจจัยเสี่ยงบางอย่างที่เพิ่มโอกาสการเกิดภาวะนี้ได้มากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กที่มีลักษณะดังต่อไปนี้
- มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคตาเหล่ ตาเข หรือโรคตาขี้เกียจ
- ทารกที่คลอดก่อนกำหนด หรือมีน้ำหนักตัวแรกเกิดน้อย
- ผู้ที่มีพัฒนาการล่าช้า
- ผู้ที่มีภาวะทางสมอง เช่น Cerebral Palsy
- ผู้ที่มีปัญหาสายตาผิดปกติมากๆ ตั้งแต่เด็ก
แนวทางการรักษาโรคตาขี้เกียจ รักษาอย่างไรให้มองเห็นได้ปกติ?
หัวใจสำคัญของการรักษาโรคตาขี้เกียจคือการ “บังคับ” ให้สมองกลับมาใช้งานตาข้างที่อ่อนแอกว่า และต้องเริ่มต้นรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ ในช่วงวัยเด็ก (ก่อนอายุ 7-9 ปี) จะให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยแนวทางการรักษาสามารถแบ่งได้เป็น 2 ส่วนหลัก ๆ
การรักษาสาเหตุหลัก
ขั้นตอนแรกคือการแก้ไขต้นตอที่ขัดขวางการมองเห็นก่อน เช่น หากมีปัญหาสายตาผิดปกติ ก็ต้องสวมแว่นตาที่ถูกต้องเพื่อปรับให้ภาพคมชัดขึ้น หากมีภาวะตาเหล่หรือเปลือกตาตกที่บดบังการมองเห็น อาจจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดเพื่อแก้ไขโครงสร้างให้ถูกต้อง ซึ่งการผ่าตัดแก้ไขกล้ามเนื้อตาหรือเปลือกตาตกนั้น แตกต่างจากการทำศัลยกรรมเพื่อความงามอย่างการทำตาสองชั้นแต่การปรึกษาแพทย์กับคลินิกทำตาที่เชี่ยวชาญด้านโครงสร้างรอบดวงตาจะช่วยให้เข้าใจแนวทางที่ถูกต้องได้
การกระตุ้นการมองเห็น
หลังจากรักษาสาเหตุหลักแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการกระตุ้นให้สมองกลับมาใช้ตาข้างที่ขี้เกียจ วิธีที่นิยมที่สุดคือการใช้แผ่นแปะปิดตา (Patching) ข้างที่ปกติเป็นเวลาหลายชั่วโมงต่อวัน เพื่อบังคับให้สมองรับภาพจากตาข้างที่อ่อนแอกว่า หรืออาจใช้ยาหยอดตา Atropine เพื่อทำให้ตาข้างที่ปกติพร่ามัวลงชั่วคราว ร่วมกับการทำกิจกรรมที่ต้องใช้สายตาเพ่งมอง เช่น วาดรูป ระบายสี หรือต่อจิ๊กซอว์ เพื่อฝึกฝนการทำงานของตาข้างที่เป็นโรคตาขี้เกียจ
ถ้าไม่รักษาโรคตาขี้เกียจ จะเกิดอะไรขึ้น?
หลายคนอาจคิดว่าโรคตาขี้เกียจเป็นเพียงปัญหาเล็กน้อย แต่หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษาตั้งแต่เนิ่นๆ อาจนำไปสู่ผลกระทบที่รุนแรงและถาวรได้
- การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร สมองจะเลิกรับสัญญาณจากตาข้างนั้นโดยสิ้นเชิง ทำให้ตาข้างนั้นไม่สามารถกลับมามองเห็นได้ดีอีกต่อไป
- สูญเสียการมองเห็นแบบสามมิติ (3D Vision) ความสามารถในการกะระยะความลึกจะหายไป ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การขับรถ การเล่นกีฬา
- เพิ่มความเสี่ยงเมื่อตาข้างดีมีปัญหา หากในอนาคตตาข้างที่มองเห็นปกติเกิดอุบัติเหตุหรือเป็นโรคขึ้นมา จะทำให้การมองเห็นโดยรวมย่ำแย่ลงอย่างมาก
- ส่งผลต่อบุคลิกภาพและความมั่นใจ ลักษณะของดวงตาที่ไม่สมดุลอาจทำให้เสียความมั่นใจได้
ภาพประกอบการโฆษณาเท่านั้น
สรุปบทความ
โดยสรุปแล้วโรคตาขี้เกียจคือภาวะที่การมองเห็นของตาข้างหนึ่งไม่พัฒนาเต็มที่ ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุทั้งตาเหล่ สายตาผิดปกติ หรือภาวะบดบังการมองเห็น การตรวจพบและรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้การมองเห็นกลับมาเป็นปกติและป้องกันการสูญเสียการมองเห็นถาวรได้ หากคุณหรือบุตรหลานมีปัญหาดวงตาที่ทำให้ใบหน้าดูไม่สมดุล ดูง่วงนอน หรือกังวลเกี่ยวกับลักษณะของดวงตา BEAMS Plastic Surgery พร้อมให้การดูแลทุกปัญหาด้วยความเข้าใจ โดยหมอบีมและทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าโดยเฉพาะ สามารถเข้ามาปรึกษาเพื่อประเมินแนวทางการแก้ไขที่เหมาะสมและวางแผนผลลัพธ์ที่สวยงามร่วมกัน สอบถามกับหมอบีม Facial Expert ผ่านช่องทางต่างๆ ของเราได้เลยค่ะ