
ปัญหาหนังตาตก หรือเปลือกตาที่หย่อนคล้อยลงมาบดบังดวงตา คงเป็นเรื่องกวนใจใครหลายคนใช่ไหมคะ เพราะนอกจากจะทำให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้า ดูมีอายุเกินวัยแล้ว ยังอาจส่งผลกระทบต่อการมองเห็นอีกด้วย หลายท่านจึงเกิดคำถามคาใจว่าอาการหนังตาตกหายเองได้ไหม หรือจำเป็นต้องรักษาอย่างไร บทความนี้จะพาทุกท่านไปหาคำตอบอย่างละเอียดครบทุกประเด็น เพื่อการดูแลและแก้ไขปัญหาอย่างถูกวิธีที่สุดค่ะ
หนังตาตก (Ptosis) คืออะไร?
หนังตาตก หรือในทางการแพทย์เรียกว่า Ptosis คือ ภาวะที่เปลือกตาบนตกลงมาอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าปกติ อาจเกิดขึ้นกับตาข้างเดียวหรือทั้งสองข้างก็ได้ โดยสาเหตุหลักเกิดจากการทำงานของกล้ามเนื้อที่ใช้ในการยกเปลือกตา (Levator Palpebrae Superioris) อ่อนแรงหรือมีความผิดปกติ ทำให้ไม่สามารถลืมตาได้เต็มที่เหมือนเดิม ซึ่งภาวะนี้สามารถพบได้ในทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่เด็กแรกเกิดไปจนถึงผู้สูงอายุเลยทีเดียว
ส่งผลต่อใบหน้าและการมองเห็นอย่างไร
ในด้านความงาม หนังตาตกทำให้ดวงตาดูไม่สดใส ตาปรือเหมือนคนง่วงนอนตลอดเวลา ส่งผลให้ใบหน้าโดยรวมดูอ่อนล้าและมีอายุมากขึ้น นอกจากนี้ ในกรณีที่หนังตาตกลงมามากจนบดบังรูม่านตา จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการมองเห็น ทำให้ลานสายตาแคบลง โดยเฉพาะการมองเห็นในส่วนบน หากปล่อยไว้นานในเด็กอาจทำให้เกิดภาวะตาขี้เกียจได้ และในผู้ใหญ่อาจเป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การขับรถ หรือการอ่านหนังสือ
สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดภาวะหนังตาตก
ภาวะหนังตาตกเกิดได้จากหลายปัจจัย ซึ่งการทำความเข้าใจสาเหตุจะช่วยให้เราสามารถวางแผนการรักษาได้อย่างตรงจุดมากยิ่งขึ้น
- หนังตาตกโดยกำเนิด เป็นภาวะที่พบได้ตั้งแต่แรกเกิด เกิดจากพัฒนาการของกล้ามเนื้อยกเปลือกตาที่ไม่สมบูรณ์ ทำให้กล้ามเนื้อส่วนนี้ไม่มีแรงพอที่จะยกเปลือกตาขึ้นได้ตามปกติ สังเกตได้จากทารกหรือเด็กเล็กจะมีลักษณะตาปรืออย่างเห็นได้ชัด ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอาจนำไปสู่ภาวะตาขี้เกียจ (Amblyopia) ได้ในอนาคต
- หนังตาตกตามวัยที่เพิ่มขึ้น เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด เมื่ออายุมากขึ้น เส้นเอ็นและกล้ามเนื้อที่ใช้ยึดและยกเปลือกตาจะค่อยๆ เสื่อมสภาพและยืดออกตามธรรมชาติ เหมือนกับความหย่อนคล้อยของผิวหนังส่วนอื่นๆ นอกจากนี้ ผิวหนังบริเวณเปลือกตาที่สูญเสียความยืดหยุ่นและไขมันที่ฝ่อตัวลง ก็เป็นปัจจัยเสริมที่ทำให้เปลือกตาดูตกลงมามากขึ้นได้เช่นกัน ซึ่งมักจะพบร่วมกับภาวะคิ้วตกทำให้ใบหน้าดูเศร้าหมองและมีอายุ
- ผลกระทบจากปัญหาสุขภาพและโรคอื่นๆ โรคบางชนิดสามารถส่งผลกระทบต่อเส้นประสาทหรือกล้ามเนื้อที่ควบคุมการทำงานของเปลือกตาได้โดยตรง เช่น
- โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (Myasthenia Gravis) เป็นโรคที่ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติและไปทำลายการสื่อสารระหว่างเส้นประสาทกับกล้ามเนื้อ
- ภาวะเส้นประสาทสมองคู่ที่ 3 เป็นอัมพาต ซึ่งควบคุมกล้ามเนื้อยกเปลือกตา
- เนื้องอกหรือถุงน้ำในเปลือกตา ที่มีขนาดใหญ่จนถ่วงให้เปลือกตาตกลงมา
- ผลข้างเคียงจากการผ่าตัด เช่น การผ่าตัดต้อกระจก หรือการทำเลสิกในอดีต
- พฤติกรรมเสี่ยงในชีวิตประจำวัน พฤติกรรมบางอย่างที่ทำซ้ำๆ เป็นเวลานานก็สามารถกระตุ้นให้เกิดภาวะหนังตาตกได้เร็วขึ้น เช่น
- การขยี้ตาบ่อยๆ และรุนแรง ทำให้เส้นเอ็นที่ยึดกล้ามเนื้อเปลือกตาเกิดการยืดและอ่อนแอลง
- การใส่คอนแทคเลนส์เป็นประจำ โดยเฉพาะคอนแทคเลนส์ชนิดแข็ง (Hard Lens) การถอดและใส่คอนแทคเลนส์ทุกวันอาจไปรบกวนกล้ามเนื้อเปลือกตาได้
สังเกตอาการหนังตาตกได้อย่างไร?
คุณสามารถสังเกตอาการของภาวะหนังตาตกได้ด้วยตัวเองจากสัญญาณต่างๆ ดังนี้
- เปลือกตาหย่อนคล้อย บดบังการมองเห็น อาการที่ชัดเจนที่สุดคือขอบเปลือกตาบนตกลงมาปิดทับตาดำมากกว่าปกติ อาจจะรู้สึกว่าดวงตาดูเล็กลง หรือมีหนังตาลงมาเกะกะบดบังการมองเห็นด้านบน ทำให้ต้องเงยหน้าหรือเอียงคอเพื่อช่วยในการมอง
- ต้องเลิกคิ้วเพื่อช่วยลืมตา เป็นกลไกชดเชยของร่างกาย เมื่อกล้ามเนื้อยกเปลือกตาอ่อนแรง เราจะพยายามใช้กล้ามเนื้อหน้าผาก (Frontalis Muscle) ในการช่วยดึงยกเปลือกตาขึ้นแทนโดยไม่รู้ตัว สังเกตได้จากการมีรอยย่นที่หน้าผากชัดเจนขึ้น หรือรู้สึกเมื่อยล้าบริเวณหน้าผากและหัวคิ้ว
- ชั้นตาเปลี่ยนไป ไม่เท่ากัน ในผู้ที่มีตาสองชั้นอยู่แล้ว อาจสังเกตเห็นว่าชั้นตาดูเล็กลง หลบใน หรือชั้นตาทั้งสองข้างดูไม่เท่ากันอย่างชัดเจน บางรายอาจพบว่ามีชั้นตาซ้อนกันหลายชั้น ซึ่งเกิดจากความหย่อนคล้อยของผิวหนังเปลือกตา
- อาการอื่นๆ ที่พบร่วมด้วย เช่น ปวดศีรษะ การที่ต้องพยายามเบิ่งตาหรือเลิกคิ้วอยู่ตลอดเวลา ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณรอบดวงตาและหน้าผากทำงานหนักเกินไป ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของอาการปวดศีรษะบริเวณหน้าผากหรือขมับ และอาการตาล้าได้ง่ายกว่าปกติ
รวมวิธีแก้ไขและรักษาหนังตาตกให้กลับมาสวยเป๊ะ
เมื่อรู้สาเหตุและอาการแล้ว คำถามต่อมาคือจะแก้ไขได้อย่างไร ซึ่งปัจจุบันมีวิธีการรักษาที่หลากหลาย ขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของอาการ
รักษาหนังตาตกแบบไม่ผ่าตัด
เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการไม่รุนแรง หรือผู้ที่ยังไม่ต้องการผ่าตัด
- ยาหยอดตา: มียาหยอดตาบางชนิด (Oxymetazoline) ที่สามารถกระตุ้นกล้ามเนื้อเปลือกตาให้หดตัวและยกขึ้นได้ชั่วคราว ผลลัพธ์อยู่ได้ไม่กี่ชั่วโมงและต้องใช้เป็นประจำ
- เทคโนโลยียกกระชับ: การใช้เครื่องมือที่ให้พลังงานคลื่นเสียง (Ultrasound) หรือคลื่นวิทยุ (Radiofrequency) เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวรอบดวงตากระชับขึ้น อาจช่วยยกหนังตาขึ้นได้เล็กน้อยในเคสที่เกิดจากความหย่อนคล้อยของผิวหนังเป็นหลัก
- การฉีดโบท็อกซ์: สามารถใช้ฉีดเพื่อยกหางคิ้วขึ้นเล็กน้อย (Brow Lift) ซึ่งจะช่วยดึงรั้งให้หนังตาบริเวณหางตายกตามขึ้นไปด้วย แต่การฉีดโบท็อกเป็นการแก้ปัญหาทางอ้อม เมื่อโบท็อกหมดฤทธิ์อาจจะทำให้เกิดภาวะคิ้วตกลงมามากกว่าเดิมได้
รักษาหนังตาตกด้วยผ่าตัด
ถือเป็นการรักษาที่ตรงจุดและให้ผลลัพธ์ถาวรที่สุด โดยศัลยแพทย์จะประเมินสาเหตุและเลือกระยะเทคนิคที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล
- การผ่าตัดแก้ไขกล้ามเนื้อยกเปลือกตา เป็นวิธีมาตรฐานสำหรับภาวะหนังตาตกจากกล้ามเนื้ออ่อนแรงโดยตรง แพทย์จะทำการผ่าตัดเข้าไปเพื่อปรับแต่งและเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อยกเปลือกตา ทำให้สามารถลืมตาได้เต็มที่มากขึ้น
- การผ่าตัดตาสองชั้นร่วมกับตัดหนังตาส่วนเกิน เหมาะสำหรับเคสที่เกิดจากผิวหนังเปลือกตาหย่อนคล้อยตามวัย แพทย์จะทำการตัดหนังตาส่วนเกินออกและเย็บสร้างชั้นตาขึ้นมาใหม่ ทำให้ดวงตาดูสดใสและอ่อนเยาว์
- การผ่าตัดยกกระชับหนังตา (Sub-Brow Lift) ในกรณีที่ปัญหาหลักเกิดจากภาวะคิ้วตกที่ดึงให้หนังตาตกลงมาด้วย การผ่าตัดยกกระชับหนังตาจะมีการซ่อนแผลไว้ชิดขอบคิ้วด้านล่าง จะช่วยแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด ทำให้เปลือกตาบนถูกยกขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับภาวะหนังตาตก
ทำไมหนังตาตกส่วนใหญ่จึงไม่หายเอง
หนังตาตกไม่สามารถหายเองได้ เพราะมีสาเหตุจากความเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้าง เช่น การเสื่อมหรือยืดออกของเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อยกเปลือกตา หรือความผิดปกติของเส้นประสาท ซึ่งร่างกายไม่สามารถซ่อมแซมหรือฟื้นฟูโครงสร้างเหล่านี้ให้กลับมาเป็นปกติได้ด้วยตัวเอง การปล่อยทิ้งไว้จึงมีแต่จะทำให้อาการค่อยๆ รุนแรงขึ้นตามกาลเวลา
กรณีไหนบ้างที่อาจดีขึ้นได้ชั่วคราว
มีเพียงไม่กี่กรณีที่อาการหนังตาตกอาจดีขึ้นได้เองชั่วคราว เช่น ภาวะที่เกิดจากการบวมหลังการร้องไห้ การพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือการแพ้ ซึ่งเมื่อปัจจัยกระตุ้นเหล่านี้หมดไป อาการบวมลดลง เปลือกตาก็จะกลับมาเป็นปกติ แต่หากเป็นอาการที่เกิดขึ้นถาวร แสดงว่าเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องได้รับการรักษาทางการแพทย์
สรุปบทความ
โดยสรุปแล้ว ภาวะหนังตาตกนั้นเกิดได้จากหลากหลายสาเหตุ ทั้งจากพันธุกรรม อายุที่มากขึ้น ไปจนถึงปัญหาสุขภาพและพฤติกรรมบางอย่าง ซึ่งส่งผลกระทบทั้งในด้านความงามและฟังก์ชันการมองเห็น และคำตอบสำหรับคำถามที่ว่าหนังตาตกหายเองได้ไหม ก็คือโดยทั่วไปแล้วไม่สามารถหายเองได้และจำเป็นต้องอาศัยการรักษาทางการแพทย์เพื่อแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุค่ะ
หากใครกำลังเผชิญกับปัญหาหนังตาตก คิ้วตก หรือความหย่อนคล้อยบริเวณรอบดวงตา ที่ BEAMS Plastic Surgery เราพร้อมดูแลทุกปัญหาบนใบหน้าของคุณ โดย หมอบีมและทีมแพทย์ศัลยกกรมเฉพาะทาง สามารถเข้ามาปรึกษาเพื่อประเมินแนวทางการแก้ไขและวางแผนผลลัพธ์ที่สวยงามเป็นธรรมชาติร่วมกัน สอบถามกับหมอบีม Facial Expert ผ่านช่องทางต่างๆ ของเราได้เลยนะคะ