ภาพประกอบการโฆษณาเท่านั้น
ปัญหาหนังตาตก เปลือกตาหย่อนคล้อย ทำให้ใบหน้าโดยรวมดูเหนื่อยล้า ดูมีอายุเกินวัย และยังส่งผลให้ดวงตาดูเศร้าหมอง หลายครั้งยังบดบังการมองเห็น ทำให้ต้องคอยเลิกคิ้วอยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้ หลายคนจึงพยายามมองหาวิธีแก้หนังตาตกแบบธรรมชาติ เพื่อเป็นทางเลือกแรกในการดูแลตัวเองก่อนตัดสินใจทำศัลยกรรมค่ะ เพราะนอกจากจะปลอดภัยแล้ว ยังทำได้ง่าย ๆ ที่บ้าน วันนี้หมอจึงได้รวบรวมหลากหลายวิธีที่ทำได้จริงมาฝากกัน รับรองว่าจะเป็นประโยชน์อย่างแน่นอนค่ะ
เข้าใจสาเหตุจริงของปัญหาหนังตาตก
อาการหนังตาตก (Ptosis) คือภาวะที่เปลือกตาบนตกลงมาต่ำกว่าระดับปกติ อาจเกิดขึ้นกับตาข้างเดียวหรือทั้งสองข้างก็ได้ ซึ่งบดบังชั้นตา ทำให้ดวงตาดูเล็กลง ดูไม่สดใส หรือที่หลายคนเรียกว่าภาวะตาเศร้าในบางกรณีที่ตกลงมามากอาจส่งผลกระทบต่อลานสายตา ทำให้การมองเห็นแย่ลง ซึ่งปัญหานี้เกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัยร่วมกัน ตั้งแต่ปัจจัยภายในที่ควบคุมไม่ได้ ไปจนถึงพฤติกรรมในชีวิตประจำวันที่เราอาจมองข้ามไป
ปัจจัยด้านอายุและพันธุกรรม
นี่คือสองปัจจัยหลักที่หลีกเลี่ยงได้ยากและส่งผลโดยตรงต่อความเปลี่ยนแปลงของผิวพรรณรอบดวงตาของเรา ซึ่งเป็นบริเวณที่บอบบางและเกิดริ้วรอยความหย่อนคล้อยได้ง่ายที่สุด
- อายุที่เพิ่มขึ้น เมื่อเราอายุมากขึ้น ร่างกายจะผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินได้น้อยลง ทำให้ผิวหนังขาดความยืดหยุ่นและเริ่มหย่อนคล้อยไปตามแรงโน้มถ่วง โดยเฉพาะผิวบริเวณเปลือกตาที่บางเป็นพิเศษ จึงแสดงสัญญาณแห่งวัยออกมาได้ชัดเจนและรวดเร็วกว่าส่วนอื่นๆ
- พันธุกรรม โครงสร้างใบหน้า กล้ามเนื้อยกเปลือกตา (Levator muscle) ที่อ่อนแรงมาแต่กำเนิด หรือลักษณะผิวที่หย่อนคล้อยง่าย สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ หากคนในครอบครัวมีประวัติหนังตาตก ก็มีแนวโน้มที่เราอาจจะประสบปัญหานี้ได้เร็วกว่าคนทั่วไป
พฤติกรรมในชีวิตประจำวันที่เร่งให้หนังตาตกเร็วขึ้น
นอกเหนือจากปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้แล้ว พฤติกรรมบางอย่างในชีวิตประจำวันก็เป็นตัวการสำคัญที่ทำร้ายผิวรอบดวงตาและเร่งให้หนังตาตกเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว
- การขยี้ตาบ่อยๆ การขยี้ตาแรง ๆ เป็นประจำ จะสร้างแรงเสียดทานและเป็นการยืดผิวหนังที่บอบบางรอบดวงตาซ้ำ ๆ ทำให้เส้นใยคอลลาเจนและอีลาสตินถูกทำลาย ผิวจึงสูญเสียความกระชับและเกิดความหย่อนคล้อยตามมาได้ง่าย
- การใช้สายตาจ้องจอเป็นเวลานาน พฤติกรรมการจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานานๆ ทำให้กล้ามเนื้อตาทำงานหนัก เกิดอาการตาล้า และลดอัตราการกะพริบตาลง ซึ่งส่งผลให้ผิวรอบดวงตาขาดความชุ่มชื้นและอาจนำไปสู่ความอ่อนล้าของกล้ามเนื้อได้
- การพักผ่อนไม่เพียงพอ การนอนหลับคือช่วงเวลาที่ร่างกายซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ หากเราพักผ่อนน้อยเกินไป จะขัดขวางกระบวนการฟื้นฟูผิว ทำให้เลือดไหลเวียนไม่ดี เกิดอาการบวมและถุงใต้ตา ซึ่งในระยะยาวจะทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นสูญเสียความยืดหยุ่นได้
- การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์: สารพิษในบุหรี่เป็นตัวการสำคัญที่ทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินในผิว ส่วนแอลกอฮอล์ทำให้ร่างกายขาดน้ำ ส่งผลให้ผิวแห้งกร้านและเหี่ยวย่นได้ง่าย โดยเฉพาะผิวรอบดวงตาที่บอบบางซึ่งจะแสดงผลกระทบออกมาอย่างชัดเจน
- การเผชิญแสงแดดโดยไม่ป้องกัน: รังสียูวีในแสงแดดคือศัตรูตัวฉกาจของผิว เพราะสามารถทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินได้อย่างรวดเร็ว การไม่ทาครีมกันแดดหรือไม่สวมแว่นกันแดดเป็นประจำ จะเร่งให้เกิดริ้วรอยและความหย่อนคล้อยรอบดวงตาก่อนวัยอันควร
ภาพประกอบการโฆษณาเท่านั้น
รวมวิธีแก้หนังตาตกแบบธรรมชาติ
เมื่อเข้าใจถึงสาเหตุแล้ว เรามาดูวิธีแก้หนังตาตกแบบธรรมชาติที่สามารถเริ่มต้นทำได้ง่ายๆ ด้วยตัวเองกันดีกว่าค่ะ การดูแลอย่างสม่ำเสมอจะช่วยชะลอและบรรเทาปัญหานี้ได้
โยคะใบหน้า บริหารกล้ามเนื้อรอบดวงตาให้แข็งแรง
การทำโยคะใบหน้าหรือการบริหารกล้ามเนื้อรอบดวงตา เป็นวิธีที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความกระชับให้กับกล้ามเนื้อที่ใช้ในการยกเปลือกตาโดยตรง เมื่อกล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น ก็จะช่วยพยุงผิวหนังที่หย่อนคล้อยให้ดีขึ้นได้
- ท่าที่ 1: การเบิกตากว้าง
- วิธีทำ: หลับตาให้สนิทและผ่อนคลายเป็นเวลา 5 วินาที จากนั้นเบิกตากว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้ ค้างไว้ 5 วินาที พยายามยกคิ้วขึ้นพร้อมกัน ทำซ้ำ 10-15 ครั้ง
- ประโยชน์: ช่วยบริหารกล้ามเนื้อยกเปลือกตา (Levator muscle) โดยตรง
- ท่าที่ 2: การนวดกระตุ้นรอบดวงตา:
- วิธีทำ: ใช้นิ้วนาง (ซึ่งมีแรงกดเบาที่สุด) แตะครีมบำรุงรอบดวงตา แล้วนวดวนเบาๆ จากหัวตาไปยังหางตาบริเวณใต้ตา และวนจากหางตามาหัวตาบริเวณใต้โหนกคิ้ว ทำซ้ำ 1-2 นาที
- ประโยชน์: ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ลดอาการบวม และทำให้ผิวผ่อนคลาย
- ท่าที่ 3: การใช้นิ้วยกคิ้ว
- วิธีทำ: วางนิ้วชี้ไว้ใต้คิ้ว จากนั้นค่อยๆ หลับตาลงพร้อมกับออกแรงดันคิ้วขึ้นเบา ๆ ค้างไว้ 10 วินาที แล้วคลายออก ทำซ้ำ 5-10 ครั้ง
- ประโยชน์: เป็นการสร้างแรงต้านเพื่อฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าผากและเปลือกตา
- ท่าที่ 4: การเหลือบตามองบน-ล่าง ซ้าย-ขวา
- วิธีทำ: นั่งหรือยืนตัวตรง ศีรษะนิ่ง จากนั้นค่อยๆ เหลือบตามองขึ้นไปด้านบนสุด ค้างไว้ 5 วินาที แล้วมองลงล่างสุด 5 วินาที สลับไปมองซ้ายสุด 5 วินาที และขวาสุด 5 วินาที ทำครบชุดนับเป็น 1 ครั้ง ทำซ้ำ 5-10 ครั้ง
- ประโยชน์: บริหารกล้ามเนื้อตาในทุกทิศทาง เพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่น
- ท่าที่ 5: การกดจุดรอบดวงตา
- วิธีทำ: ใช้นิ้วกลางกดเบา ๆ ที่จุดบริเวณหัวตา (ใกล้สันจมูก) และจุดบริเวณหางตา ค้างไว้จุดละ 5 วินาที ทำซ้ำ 5 ครั้ง
- ประโยชน์: ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและน้ำเหลือง ลดความหมองคล้ำและอาการบวม
- ท่าที่ 6: การฝึกโยคะใบหน้า (Face Yoga)
- วิธีทำ: ลองทำ “ท่า The V” โดยวางนิ้วกลางทั้งสองข้างไว้ที่หัวตา และวางนิ้วชี้ไว้ที่หางตา ออกแรงกดเบา ๆ แล้วเหลือบตามองขึ้นด้านบนพร้อมกับหรี่ตา ทำค้างไว้ 10 วินาที
- ประโยชน์: ช่วยลดริ้วรอยตีนกาและกระชับผิวบริเวณหางตา
- ท่าที่ 7: การใช้ช้อนเย็นประคบ
- วิธีทำ: นำช้อนสแตนเลส 2 คันไปแช่ในตู้เย็นประมาณ 10-15 นาที จากนั้นนำด้านหลังของช้อนมาประคบเบา ๆ ที่เปลือกตา ปล่อยทิ้งไว้จนกว่าช้อนจะหายเย็น
- ประโยชน์: ความเย็นจะช่วยทำให้หลอดเลือดหดตัว ลดอาการบวม และทำให้ผิวรู้สึกตึงกระชับขึ้นชั่วคราว
มาสก์หน้าด้วยสูตรธรรมชาติ
การใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติมามาสก์บริเวณเปลือกตา เป็นอีกหนึ่งวิธีแก้หนังตาตกแบบธรรมชาติที่ช่วยบำรุงผิวให้ตึงกระชับและชุ่มชื้นขึ้นได้ ซึ่งวัตถุดิบส่วนใหญ่ก็สามารถหาได้ง่ายๆ ในห้องครัว
- สูตรที่ 1: ไข่ขาว
- วิธีทำ: ตีไข่ขาว 1 ฟองจนขึ้นฟูเล็กน้อย ใช้คอตตอนบัดจุ่มแล้วทาบางๆ ที่เปลือกตา (ระวังอย่าให้เข้าตา) ทิ้งไว้จนแห้งตึงประมาณ 10-15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น
- คุณประโยชน์: โปรตีนในไข่ขาวมีคุณสมบัติช่วยให้ผิวตึงกระชับขึ้นได้ชั่วคราว เหมาะสำหรับทำก่อนไปงานสำคัญ
- สูตรที่ 2: ว่านหางจระเข้
- วิธีทำ: นำวุ้นว่านหางจระเข้สด (หรือเจลว่านหางจระเข้บริสุทธิ์) มาทาบางๆ รอบดวงตาและเปลือกตา ทิ้งไว้ 15-20 นาที แล้วล้างออก
- คุณประโยชน์: ช่วยเติมความชุ่มชื้น ลดการอักเสบ และมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยฟื้นฟูผิว
- สูตรที่ 3: แตงกวาและมันฝรั่ง
- วิธีทำ: นำแตงกวาและมันฝรั่งมาปั่นรวมกัน (หรือฝานบางๆ) แล้วนำไปแช่เย็น จากนั้นนำมาโปะไว้บนเปลือกตาประมาณ 15-20 นาที
- คุณประโยชน์: ทั้งสองอย่างมีคุณสมบัติช่วยลดอาการบวม ลดความหมองคล้ำ และทำให้ผิวรอบดวงตาสดชื่นขึ้น
ปรับไลฟ์สไตล์ง่ายๆ เพื่อป้องกันหนังตาตกในระยะยาว
นอกจากการดูแลจากภายนอกแล้ว การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยชะลอปัญหาหนังตาตกและดูแลสุขภาพผิวรอบดวงตาให้ดีอยู่เสมอ
การเลือกใช้ Eye Cream ที่มีประสิทธิภาพ
มองหาอายครีมที่มีส่วนผสมซึ่งช่วยเรื่องความกระชับและลดเลือนริ้วรอยโดยเฉพาะ เช่น เรตินอล (Retinol) เปปไทด์ (Peptides) กรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) และสารต้านอนุมูลอิสระอย่างวิตามินซีและอี ควรทาอย่างสม่ำเสมอทั้งเช้าและก่อนนอน
ปกป้องผิวรอบดวงตาด้วยครีมกันแดดเสมอ
นี่คือขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการป้องกันปัญหาริ้วรอยและความหย่อนคล้อย ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปทั่วใบหน้าและทาซ้ำอย่างเบามือบริเวณรอบดวงตา หรือเลือกสวมแว่นกันแดดที่สามารถป้องกันรังสียูวีได้ 100% ทุกครั้งที่ต้องออกไปเผชิญแสงแดด
ทานอาหารบำรุงสายตาและผิวพรรณ
รับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ผักใบเขียว ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ อาหารที่มีวิตามินซีสูงเพื่อช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน และอาหารที่มีโอเมก้า 3 เช่น ปลาทะเล เพื่อช่วยบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นจากภายใน และอย่าลืมดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน
พักผ่อนให้เพียงพอและถูกสุขลักษณะ
การนอนหลับให้สนิทอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืนเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อการฟื้นฟูร่างกายและผิวพรรณ ลองใช้หมอนที่สูงขึ้นเล็กน้อยเพื่อช่วยลดอาการบวมของใบหน้าและรอบดวงตาในตอนเช้าได้
ภาพประกอบการโฆษณาเท่านั้น
สรุปบทความ
จะเห็นได้ว่ามีหลากหลายวิธีแก้หนังตาตกแบบธรรมชาติที่เราสามารถทำได้ด้วยตนเอง ตั้งแต่การบริหารกล้ามเนื้อ การใช้มาสก์ธรรมชาติ ไปจนถึงการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ ซึ่งล้วนเป็นพื้นฐานสำคัญในการชะลอความหย่อนคล้อยและดูแลผิวรอบดวงตาให้สดใสยาวนาน แต่หากวิธีเหล่านี้ยังไม่สามารถตอบโจทย์ปัญหาหนังตาตกที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นใจ BEAMS plastic surgery พร้อมให้คำปรึกษาและดูแลโดยหมอบีมและทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าโดยเฉพาะ ขอแนะนำโปรแกรม แก้หนังตาตก (Sub Brow Lift) ยกหางตาซ่อนแผลใต้คิ้ว ซึ่งเป็นเทคนิคการยกกระชับที่ให้ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติและซ่อนรอยแผลได้อย่างแนบเนียน คุณสามารถเข้ามาปรึกษาเพื่อประเมินปัญหาและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับคุณที่สุดกับหมอบีม Facial Expert ผ่านช่องทางต่างๆ ของคลินิกได้เลยค่ะ