ภาพประกอบการโฆษณาเท่านั้น
ปัญหาถุงใต้ตาบวมเป็นเรื่องที่สร้างความกังวลใจให้ใครหลายคน เพราะทำให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย และดูมีอายุเกินจริง แต่คุณทราบหรือไม่ว่าปัญหานี้อาจไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยความงามเสมอไป ในบางกรณี อาการบวมที่เห็นอาจเป็นสัญญาณเตือนจากร่างกายว่ามีปัญหาสุขภาพบางอย่างซ่อนอยู่ วันนี้หมอได้รวบรวมข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับภาวะถุงใต้ตา เพื่อให้ทุกคนได้เข้าใจถึงสาเหตุ ลักษณะของถุงใต้ตาที่ควรระวังและภาวะถุงใต้ตาบอกโรคอะไรได้บ้าง ไปจนถึงวิธีดูแลตัวเองในเบื้องต้นค่ะ
ถุงใต้ตาคืออะไร
ถุงใต้ตา (Bags Under Eyes) คือภาวะที่ผิวหนังบริเวณใต้เปลือกตาล่างมีลักษณะหย่อนคล้อยและบวมนูนออกมาอย่างเห็นได้ชัด เกิดจากการที่โครงสร้างเนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อรอบดวงตาอ่อนแอลงตามวัย ทำให้ไขมันที่อยู่เบ้าตาตามปกติเคลื่อนตัวลงมาสะสมอยู่บริเวณดังกล่าว ประกอบกับการคั่งของของเหลวในบริเวณนั้น จึงทำให้เห็นเป็นถุงนูนบวมขึ้นมา ซึ่งส่งผลให้ใบหน้าโดยรวมดูไม่สดใสและดูมีอายุ
ลักษณะของถุงใต้ตา
ลักษณะของถุงใต้ตาสามารถปรากฏออกมาในรูปแบบที่แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยทั่วไปแล้วเราสามารถสังเกตลักษณะเด่น ๆ ได้ดังนี้ค่ะ
- ผิวหนังหย่อนคล้อย เป็นลักษณะที่ผิวหนังใต้ตาขาดความกระชับเต่งตึง ทำให้เห็นเป็นรอยพับหรือความเหี่ยวย่นใต้ดวงตา เกิดจากการสูญเสียคอลลาเจนและอีลาสตินตามวัย ทำให้ใบหน้าดูมีลักษณะ ตาเศร้า และอ่อนล้า
- การสะสมของไขมัน เกิดจากไขมันในเบ้าตา (Orbital Fat) ปลิ้นออกมาด้านหน้า ทำให้เห็นเป็นก้อนไขมันนูนชัดเจนใต้ตา ซึ่งจะแตกต่างจากภาวะเบ้าตาลึก ที่เป็นการยุบตัวของไขมันลงไป
- การบวมน้ำ มีลักษณะบวมฉุ ซึ่งมักจะเห็นได้ชัดที่สุดในช่วงเช้าหลังตื่นนอน และอาจค่อยๆ ยุบลงในระหว่างวัน เกิดจากการสะสมหรือคั่งของเหลวในเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง
สาเหตุทั่วไปที่ทำให้เกิดถุงใต้ตา
นอกเหนือจากปัญหาสุขภาพแล้ว ถุงใต้ตาส่วนใหญ่มักเกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตและปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ ที่กระตุ้นให้เกิดอาการบวมและความหย่อนคล้อยได้ง่ายขึ้น ซึ่งสาเหตุทั่วไปที่พบได้บ่อย มีดังนี้
- อายุที่เพิ่มขึ้น เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายจะผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินได้น้อยลง ทำให้ผิวหนังและกล้ามเนื้อรอบดวงตาที่เคยแข็งแรงเริ่มอ่อนแอและหย่อนคล้อย เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ไขมันเคลื่อนตัวออกมาเป็นถุงใต้ตาได้ง่ายขึ้น
- พันธุกรรม หากคนในครอบครัวของคุณมีประวัติเรื่องถุงใต้ตา ก็มีความเป็นไปได้สูงที่คุณจะได้รับการถ่ายทอดลักษณะดังกล่าวมาด้วยเช่นกัน ซึ่งอาจทำให้คุณมีถุงใต้ตาปรากฏให้เห็นได้ตั้งแต่อายุยังน้อย
- การพักผ่อนไม่เพียงพอ การนอนน้อยหรือนอนดึกจะทำให้เลือดไหลเวียนได้ไม่ดี และเกิดการคั่งของของเหลวในบริเวณเนื้อเยื่ออ่อนใต้ตาได้ง่าย ส่งผลให้ใต้ตาบวมคล้ำและเห็นถุงใต้ตาได้ชัดเจนขึ้นหลังตื่นนอน
- การร้องไห้ ขณะร้องไห้ ร่างกายจะส่งของเหลวมาสะสมที่บริเวณดวงตาและเปลือกตามากขึ้น ประกอบกับการขยี้ตาที่อาจเกิดขึ้นระหว่างร้องไห้ ทำให้เกิดการระคายเคืองและอาการบวมช้ำตามมาได้
- การดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ แอลกอฮอล์ทำให้ร่างกายขาดน้ำ ผิวจึงแห้งและอ่อนแอลง ส่วนสารพิษในบุหรี่จะเข้าไปทำลายคอลลาเจน ทำให้ผิวหนังสูญเสียความยืดหยุ่นและเกิดความหย่อนคล้อยก่อนวัยอันควร
- การรับประทานอาหารรสเค็มจัด อาหารที่มีโซเดียมสูงจะทำให้ร่างกายกักเก็บน้ำไว้มากกว่าปกติ ซึ่งของเหลวส่วนเกินเหล่านี้มักจะไปสะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณที่ผิวบอบบางอย่างใต้ตา ทำให้เกิดอาการบวมน้ำได้
- การขยี้ตาบ่อยๆ และการอักเสบ การขยี้ตาแรงๆ เป็นประจำสามารถทำลายหลอดเลือดฝอยเล็กๆ ใต้ผิวหนัง และกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ บวม และรอยคล้ำได้ง่ายขึ้น รวมถึงทำให้ผิวบริเวณนั้นหย่อนคล้อยเร็วขึ้นด้วย
ลักษณะเบื้องต้นที่ควรไปพบแพทย์
โดยส่วนใหญ่ถุงใต้ตามักไม่เป็นอันตราย แต่หากคุณมีอาการบางอย่างร่วมด้วย อาจเป็นสัญญาณว่าถึงเวลาที่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แท้จริง โดยสัญญาณเตือนที่ควรสังเกตมีดังนี้
- อาการบวมไม่ยุบ แม้จะปรับพฤติกรรมแล้ว หากลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่าง ๆ เช่น นอนให้เร็วขึ้น ลดเค็ม หรือประคบเย็นแล้ว แต่อาการบวมยังคงอยู่และไม่ดีขึ้นเลย อาจเป็นสัญญาณว่ามีสาเหตุอื่นซ่อนอยู่
- บวมแดง เจ็บ หรือมีอาการคันร่วมด้วย อาการเหล่านี้บ่งชี้ถึงการอักเสบ การติดเชื้อ หรืออาจเป็นปฏิกิริยาของโรคภูมิแพ้ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้องจากแพทย์
- การมองเห็นเปลี่ยนไป หากถุงใต้ตาบวมมากจนส่งผลต่อการมองเห็น เช่น ทำให้มองภาพไม่ชัด หรือรู้สึกเหมือนมีอะไรมาบดบัง ควรไปพบแพทย์ทันที เพราะอาจเกิดแรงดันต่อดวงตาได้
- มีอาการบวมที่ส่วนอื่นๆ ของร่างกายร่วมด้วย (เช่น ขา เท้า) อาการบวมที่เกิดขึ้นพร้อมกันในหลายตำแหน่งของร่างกาย เป็นสัญญาณสำคัญของโรคทางระบบ เช่น โรคไต หรือโรคหัวใจ ซึ่งต้องการการดูแลทางการแพทย์อย่างเร่งด่วน
- อาการเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน หากถุงใต้ตาปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วภายในเวลาสั้น ๆ โดยไม่มีสาเหตุชัดเจน อาจเป็นผลมาจากการติดเชื้อหรือการแพ้อย่างรุนแรง ซึ่งควรได้รับการตรวจประเมินโดยเร็วที่สุด
ภาพประกอบการโฆษณาเท่านั้น
ถุงใต้ตาบอกโรคอะไรได้บ้าง?
อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่าภาวะถุงใต้ตาบอกโรคได้หลายอย่าง การสังเกตความผิดปกติจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะอาการบวมที่ดูเหมือนธรรมดา อาจเป็นตัวชี้วัดปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงกว่าที่คิดได้
โรคไต
ภาวะถุงใต้ตาบวมจากโรคไตเป็นหนึ่งในข้อกังวลที่สำคัญที่สุด ความเชื่อมโยงคือ ไตมีหน้าที่หลักในการกรองของเสียและควบคุมสมดุลของเหลวในร่างกาย เมื่อไตทำงานผิดปกติหรือเสื่อมสภาพลง จะไม่สามารถขับน้ำและโซเดียมส่วนเกินออกจากร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการคั่งของของเหลวไปทั่วร่างกาย (Generalized Edema) ซึ่งมักจะแสดงอาการบวมให้เห็นได้ชัดเจนในบริเวณที่มีเนื้อเยื่ออ่อนและผิวบอบบางอย่างถุงใต้ตา
ลักษณะอาการที่เกี่ยวข้องกับโรคไต
- ถุงใต้ตาบวมมากในตอนเช้า
- มีอาการบวมกดบุ๋ม (Pitting Edema) ที่บริเวณขา หน้าแข้ง หรือเท้า
- ปัสสาวะผิดปกติ เช่น เป็นฟอง, มีเลือดปน, ปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน
- ความดันโลหิตสูง
- อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร และอาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียน
โรคภูมิแพ้
เมื่อร่างกายสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ เช่น ไรฝุ่น เกสรดอกไม้ หรือขนสัตว์ ระบบภูมิคุ้มกันจะหลั่งสารที่ชื่อว่า “ฮีสตามีน” (Histamine) ออกมาเพื่อต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอม ซึ่งฮีสตามีนนี้เองที่ทำให้หลอดเลือดขยายตัวและเกิดการรั่วของของเหลวออกมาสะสมอยู่ใต้ผิวหนังที่บอบบางบริเวณรอบดวงตา จนเกิดเป็นถุงใต้ตาบวมและรอยคล้ำที่เรียกว่า “Allergic Shiners”
ลักษณะอาการที่เกี่ยวข้องกับโรคภูมิแพ้
- มีอาการคันตา ตาแดง น้ำตาไหล
- จาม คัดจมูก หรือมีน้ำมูกใสๆ
- อาจมีผื่นคันตามผิวหนังร่วมด้วย
- ใต้ตาบวมและมีรอยคล้ำชัดเจน
โรคไทรอยด์เป็นพิษ (ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน)
ในผู้ป่วยบางราย โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคเกรฟส์ (Graves’ Disease) ซึ่งเป็นโรคไทรอยด์เป็นพิษชนิดหนึ่งที่เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน ระบบภูมิคุ้มกันจะเข้าใจผิดและเข้าไปโจมตีเนื้อเยื่อต่าง ๆ บริเวณหลังลูกตา ทำให้กล้ามเนื้อและไขมันบริเวณนั้นเกิดการอักเสบและบวมขึ้น ซึ่งแรงดันนี้จะดันให้ลูกตาโปนออกมาและทำให้เปลือกตาล่างดูบวมเป็นถุงใต้ตาขนาดใหญ่ได้
ลักษณะอาการที่เกี่ยวข้องกับโรคไทรอยด์
- ตาโปน (Proptosis) อย่างเห็นได้ชัด
- อาจรู้สึกเจ็บหรือตึงในเบ้าตาเวลากรอกตา
- น้ำตาไหลง่าย ตาแห้ง หรือระคายเคืองตา
- ใจสั่น เหนื่อยง่าย น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วทั้งที่ทานอาหารปกติ
การติดเชื้อบริเวณดวงตา (Sinusitis หรือ Periorbital Cellulitis)
การอักเสบติดเชื้อในบริเวณใกล้เคียงดวงตา เช่น โพรงจมูกอักเสบ (Sinusitis) หรือการติดเชื้อของเนื้อเยื่อรอบเบ้าตา (Periorbital Cellulitis) สามารถลุกลามและทำให้เกิดการอักเสบ บวม แดง ร้อน บริเวณเปลือกตาและถุงใต้ตาได้ ซึ่งภาวะนี้ถือเป็นภาวะเร่งด่วนที่ต้องรีบพบแพทย์ เพราะหากการติดเชื้อลุกลามเข้าไปในเบ้าตาอาจเป็นอันตรายต่อการมองเห็นได้
ลักษณะอาการที่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อ
- เปลือกตาหรือถุงใต้ตาบวม แดง และร้อนเมื่อสัมผัส
- มีอาการปวดบริเวณรอบดวงตาหรือใบหน้า
- อาจมีไข้หรือหนาวสั่นร่วมด้วย
- การมองเห็นอาจผิดปกติหรือพร่ามัว
วิธีดูแลและลดถุงใต้ตาเบื้องต้นด้วยตัวเอง
สำหรับถุงใต้ตาที่เกิดจากสาเหตุทั่วไป ไม่ได้เกี่ยวข้องกับโรคภัยไข้เจ็บรุนแรง เราสามารถดูแลและบรรเทาอาการบวมเบื้องต้นได้ด้วยตัวเอง ผ่านการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการดูแลจากภายนอก
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
การปรับไลฟ์สไตล์บางอย่างสามารถช่วยลดการสะสมของของเหลวและชะลอความหย่อนคล้อยของผิวรอบดวงตาได้เป็นอย่างดี ซึ่งถือเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ 7-9 ชั่วโมง การนอนหลับอย่างมีคุณภาพช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานได้ดีขึ้น ลดการคั่งของเลือดและของเหลวบริเวณใต้ตา ทำให้ถุงใต้ตาและรอยคล้ำดูลดลง
- หนุนหมอนให้ศีรษะสูงขึ้นเล็กน้อยเวลานอน การยกศีรษะให้สูงกว่าลำตัวจะช่วยให้ของเหลวที่คั่งอยู่บริเวณใบหน้าและรอบดวงตาไหลเวียนลงสู่ส่วนล่างของร่างกายได้ดีขึ้นตามแรงโน้มถ่วง
- ลดการทานอาหารเค็มจัดและอาหารแปรรูป เพื่อลดปริมาณโซเดียมส่วนเกินในร่างกาย ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ร่างกายกักเก็บน้ำและเกิดอาการบวมน้ำตามมา โดยเฉพาะภาวะถุงใต้ตาบวมโรคไตยิ่งต้องระวัง
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ การดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอต่อวันจะช่วยขับโซเดียมส่วนเกินออกจากร่างกายผ่านทางปัสสาวะ และช่วยให้ระบบต่าง ๆ รวมถึงการไหลเวียนของเหลวทำงานได้อย่างสมดุล
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ การงดหรือลดปัจจัยเหล่านี้จะช่วยรักษาคอลลาเจนในผิวให้คงอยู่ยาวนานขึ้น และลดภาวะขาดน้ำซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของผิวรอบดวงตาที่อ่อนแอ
การดูแลจากภายนอก
นอกจากการปรับพฤติกรรมจากภายในแล้ว การดูแลผิวรอบดวงตาจากภายนอกก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยลดอาการบวมได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
- การประคบเย็น ด้วยช้อนแช่เย็น, เจลแพ็ค, หรือแตงกวา ความเย็นจะช่วยให้หลอดเลือดบริเวณใต้ตาหดตัวลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้อาการบวมลดลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรประคบประมาณ 10-15 นาทีในตอนเช้า
- ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงรอบดวงตาที่มีส่วนผสมช่วยลดบวม มองหาส่วนผสมอย่าง คาเฟอีน (ช่วยกระตุ้นการไหลเวียน), วิตามินซี (ช่วยให้ผิวกระจ่างใส), หรือเรตินอล (ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน) เพื่อช่วยฟื้นฟูผิวรอบดวงตาให้แข็งแรงขึ้น
ภาพประกอบการโฆษณาเท่านั้น
สรุปบทความ
จะเห็นได้ว่าถุงใต้ตาเป็นได้ทั้งปัญหาด้านความงามที่เกิดจากไลฟ์สไตล์และวัยที่เพิ่มขึ้น ไปจนถึงสัญญาณเตือนที่สำคัญซึ่งภาวะถุงใต้ตาบอกโรคร้ายแรงต่าง ๆ ได้ ดังนั้น การหมั่นสังเกตความผิดปกติของตัวเองจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม หากท่านใดที่มีปัญหาถุงใต้ตาเรื้อรัง ผิวใต้ตาหย่อนคล้อยจนทำให้ใบหน้าดูเศร้าหมอง และวิธีดูแลตัวเองเบื้องต้นไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ การเข้ามาปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคือทางออกที่ดีที่สุด ที่ BEAMS plastic surgery เราพร้อมดูแลทุกปัญหาเพื่อคืนความสดใสให้ดวงตาของคุณ โดยหมอบีมและทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดถุงใต้ตา หรือการรักษาอื่นๆ เช่น การทำดึงหน้าเพื่อแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยโดยรวม คุณสามารถเข้ามาปรึกษาเพื่อวางแผนแนวทางการแก้ไขและผลลัพธ์ที่ต้องการร่วมกัน สอบถามกับหมอบีม Facial Expert ผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้เลยค่ะ