
ภาพประกอบการโฆษณาเท่านั้น
ภาวะตาโปน (Proptosis หรือ Exophthalmos) ไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยงามที่ทำให้ใบหน้าดูดุหรือเหนื่อยล้า แต่ยังอาจเป็นสัญญาณเตือนจากร่างกายถึงความผิดปกติหรือโรคร้ายแรงที่ซ่อนอยู่ได้ค่ะ หลายคนอาจไม่เคยทราบว่าอาการที่เห็นได้จากภายนอกนี้เชื่อมโยงกับปัญหาสุขภาพได้มากมาย การทำความเข้าใจถึงสาเหตุจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง วันนี้หมอได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับภาวะตาโปนมาให้ครบทุกมิติ ตั้งแต่สาเหตุ อาการที่ควรสังเกต ไปจนถึงแนวทางการรักษาที่ถูกต้อง เพื่อให้คุณได้สำรวจตัวเองและคนใกล้ชิดก่อนจะสายเกินไปค่ะ
ภาวะตาโปน (Proptosis) คืออะไร
ภาวะตาโปนคือภาวะที่ลูกตาถูกดันให้ยื่นออกมาข้างหน้ามากกว่าปกติ ทำให้เห็นพื้นที่ตาขาวระหว่างขอบเปลือกตากับขอบตาดำมากขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งอาจเกิดขึ้นกับตาทั้งสองข้างหรือเพียงข้างเดียวก็ได้ โดยปกติแล้วเราจะไม่สามารถมองเห็นตาขาวบริเวณเหนือหรือใต้ตาดำได้เมื่อมองตรง แต่ในผู้ที่มีภาวะตาโปนจะสามารถสังเกตเห็นพื้นที่สีขาวนี้ได้ชัดเจน ซึ่งเป็นผลมาจากเนื้อเยื่อ ไขมัน หรือกล้ามเนื้อบริเวณหลังลูกตาเกิดการอักเสบ บวม หรือมีก้อนเนื้อไปดันลูกตาออกมา
ตาโปนข้างเดียว กับ สองข้าง ต่างกันหรือไม่?
ความแตกต่างระหว่างอาการตาโปนข้างเดียวและสองข้างมีความสำคัญอย่างยิ่งในการวินิจฉัยหาสาเหตุเบื้องต้น โดยทั่วไปแล้วตาโปนสองข้างมักมีสาเหตุมาจากโรคทางกายที่เป็นระบบและส่งผลกระทบต่อทั้งร่างกาย เช่น โรคไทรอยด์เป็นพิษ ในขณะที่ตาโปนข้างเดียวมักมีสาเหตุมาจากปัญหาเฉพาะที่บริเวณเบ้าตาข้างนั้น ๆ เช่น การติดเชื้อ เนื้องอก หรือการบาดเจ็บ
- ตาโปนข้างเดียว (Unilateral Proptosis) มักเกี่ยวข้องกับปัญหาเฉพาะจุด เช่น
- เนื้องอกในเบ้าตา
- การอักเสบหรือติดเชื้อในเบ้าตา (Orbital Cellulitis)
- การบาดเจ็บหรืออุบัติเหตุที่เบ้าตา
- ความผิดปกติของหลอดเลือดหลังลูกตาข้างเดียว
- ตาโปนสองข้าง (Bilateral Proptosis) มักมีสาเหตุจากโรคที่ส่งผลต่อระบบทั่วร่างกาย ที่พบบ่อยที่สุดคือ
- โรคไทรอยด์ขึ้นตา หรือโรคเกรฟส์ (Graves’ Disease)
- การอักเสบของเนื้อเยื่อในเบ้าตาทั้งสองข้างจากโรคอื่น ๆ
อาการตาโปนและอาการร่วมที่ควรสังเกต
นอกจากการสังเกตว่าดวงตาของเรายื่นออกมาผิดปกติแล้ว ยังมีอาการร่วมอื่น ๆ ที่ควรให้ความสำคัญ เพราะจะช่วยให้แพทย์วินิจฉัยสาเหตุของภาวะตาโปนได้แม่นยำยิ่งขึ้น
อาการที่ดวงตาโดยตรง
- รู้สึกเหมือนมีแรงกดดันหรือปวดในเบ้าตา
- ตาแห้ง แสบตา หรือระคายเคืองตา เนื่องจากเปลือกตาอาจปิดไม่สนิท
- น้ำตาไหลมากกว่าปกติ
- ตาแดง หรือเห็นเส้นเลือดฝอยในตาขาวชัดขึ้น
- การมองเห็นผิดปกติ เช่น มองเห็นภาพซ้อน ตามัว หรือการมองเห็นสีเพี้ยนไป
- กรอกตาหรือเคลื่อนไหวลูกตาได้ลำบาก รู้สึกตึงรั้ง
- เปลือกตาบวม หรือมีลักษณะคล้ายภาวะ ตาเศร้า จากการเปลี่ยนแปลงของเปลือกตา
อาการอื่นๆ ที่อาจพบร่วม
- ใจสั่น มือสั่น น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว (อาการของไทรอยด์เป็นพิษ)
- ปวดศีรษะ
- มีไข้ (ในกรณีมีการติดเชื้อ)
- อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
- ความดันโลหิตสูง
ตาโปน เกิดจากโรคอะไรได้บ้าง
ภาวะตาโปนไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่เป็นผลมาจากโรคหรือความผิดปกติอื่น ๆ การทำความเข้าใจสาเหตุที่แท้จริงคือกุญแจสำคัญในการรักษาให้ตรงจุด ซึ่งสาเหตุหลัก ๆ มีดังนี้
1. โรคไทรอยด์เป็นพิษ (Graves’ Disease)
นี่คือสาเหตุของภาวะตาโปนที่พบได้บ่อยที่สุด โดยเฉพาะตาโปนทั้งสองข้าง เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติ ไปกระตุ้นให้ต่อมไทรอยด์ผลิตฮอร์โมนออกมามากเกินไป และยังเข้าไปโจมตีเนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อหลังลูกตา ทำให้เกิดการอักเสบ บวม และดันลูกตาออกมา
ลักษณะอาการ
- ตาโปนออกทั้งสองข้าง
- เปลือกตาบนรั้งขึ้น
- ใจสั่น
- น้ำหนักลด
- มือสั่น
- ขี้ร้อน
2. การติดเชื้อและการอักเสบในเบ้าตา
เป็นการติดเชื้อแบคทีเรียที่รุนแรงบริเวณเนื้อเยื่อไขมันและกล้ามเนื้อในเบ้าตา มักลุกลามมาจากการติดเชื้อบริเวณใกล้เคียง เช่น ไซนัสอักเสบ หรือการติดเชื้อที่ผิวหนังบริเวณใบหน้า ถือเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องได้รับการรักษาทันที เพราะอาจลุกลามเข้าสู่สมองและเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
ลักษณะอาการ
- ตาโปนขึ้นอย่างรวดเร็ว (มักเป็นข้างเดียว)
- ปวดตาและเบ้าตามาก
- ตาแดงจัด
- เปลือกตาบวม
- มีไข้สูง
3. เนื้องอกบริเวณเบ้าตา
อาจเป็นเนื้องอกธรรมดาหรือเนื้อร้าย (มะเร็ง) ที่เกิดขึ้นในเบ้าตา หรืออาจเป็นมะเร็งจากส่วนอื่นที่แพร่กระจายมายังเบ้าตาก็ได้ ก้อนเนื้องอกจะค่อย ๆ ขยายขนาดและเข้าไปเบียดหรือดันลูกตาให้โปนออกมาข้างหน้า ซึ่งมักจะโปนออกมาอย่างช้า ๆ
ลักษณะอาการ
- ตาโปนข้างเดียวแบบค่อยเป็นค่อยไป, อาจมีอาการตามัวหรือเห็นภาพซ้อนหากเนื้องอกกดทับเส้นประสาทตา
4. การบาดเจ็บและอุบัติเหตุ
อุบัติเหตุรุนแรงที่กระทบกระเทือนบริเวณเบ้าตาอาจทำให้เกิดเลือดออกหรือการอักเสบบวมภายในเบ้าตา และดันให้ลูกตาโปนออกมาได้ทันที นอกจากนี้ การแตกของผนังเบ้าตาก็อาจทำให้เกิดภาวะนี้ได้เช่นกัน บางครั้งภาวะเบ้าตาลึกก็อาจเป็นผลสืบเนื่องจากอุบัติเหตุได้ ขึ้นอยู่กับลักษณะการบาดเจ็บ
ลักษณะอาการ
- ตาโปนหลังได้รับอุบัติเหตุ
- มีรอยฟกช้ำ บวม หรือเลือดออกรอบดวงตา
- ปวดมาก
5. ปัญหาหลอดเลือดและความผิดปกติแต่กำเนิด
ความผิดปกติของหลอดเลือดหลังลูกตา เช่น ภาวะหลอดเลือดแดงเชื่อมต่อกับหลอดเลือดดำโดยตรง (Carotid-Cavernous Fistula) หรือเนื้องอกของหลอดเลือด (Hemangioma) สามารถทำให้เกิดแรงดันในเบ้าตาสูงขึ้นและเกิดอาการตาโปนได้
ลักษณะอาการ
- อาจได้ยินเสียงฟู่ ๆ ในศีรษะ (สัมพันธ์กับการเต้นของหัวใจ)
- ตาแดง
- เห็นภาพซ้อน
ภาพประกอบการโฆษณาเท่านั้น
ตาโปนแบบไหนอันตราย? สัญญาณที่ต้องรีบไปพบแพทย์
แม้ว่าอาการตาโปนบางกรณีอาจค่อยเป็นค่อยไป แต่หากมีสัญญาณเตือนต่อไปนี้ ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน เพราะอาจเป็นอันตรายต่อการมองเห็นได้
- ตาโปนขึ้นอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่กี่วัน
- มีอาการปวดตาหรือปวดศีรษะรุนแรง
- การมองเห็นแย่ลงอย่างเฉียบพลัน หรือมองเห็นภาพซ้อน
- มีไข้สูงร่วมด้วย
หากมีอาการเหล่านี้ ควรเข้าพบจักษุแพทย์เพื่อประเมินอาการที่ดวงตาโดยตรง และอาจต้องพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านต่อมไร้ท่อ (Endocrinologist) หากสงสัยว่าสาเหตุมาจากโรคไทรอยด์ เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
ขั้นตอนการวินิจฉัยหาสาเหตุของภาวะตาโปน
เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของภาวะตาโปนแพทย์จะทำการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด ซึ่งโดยทั่วไปจะมีขั้นตอนหลัก ๆ ดังต่อไปนี้
การตรวจร่างกายและวัดค่าสายตา
แพทย์จะซักประวัติอย่างละเอียดเกี่ยวกับอาการ ระยะเวลาที่เป็น และอาการร่วมอื่น ๆ จากนั้นจะทำการตรวจร่างกายโดยเน้นที่ดวงตาและบริเวณรอบดวงตาเพื่อประเมินความผิดปกติ นอกจากนี้ยังมีการตรวจวัดค่าสายตาและลานสายตาเพื่อดูผลกระทบต่อการมองเห็น
- การวัดระดับความโปนของตา ใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Exophthalmometer เพื่อวัดว่าลูกตายื่นออกมาจากเบ้าตากี่มิลลิเมตร
- การตรวจการทำงานของกล้ามเนื้อตา เพื่อประเมินภาวะมองเห็นภาพซ้อน
- การตรวจดูพื้นผิวกระจกตาและเส้นประสาทตา เพื่อหาภาวะแทรกซ้อน
การตรวจเลือดหาความผิดปกติของไทรอยด์
เนื่องจากโรคไทรอยด์เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด การตรวจเลือดจึงเป็นขั้นตอนที่สำคัญมากในการวินิจฉัยภาวะตาโปนโดยเฉพาะในรายที่สงสัย Graves’ Disease แพทย์จะส่งตรวจหาระดับฮอร์โมนไทรอยด์และแอนติบอดีที่เกี่ยวข้อง
- การตรวจวัดระดับ TSH, Free T3, Free T4 เพื่อดูการทำงานของต่อมไทรอยด์ว่าอยู่ในภาวะเป็นพิษหรือไม่
- การตรวจหา TRAb (Thyrotropin Receptor Antibody) เป็นแอนติบอดีจำเพาะที่พบในผู้ป่วยโรค Graves’ Disease
การตรวจด้วย CT Scan และ MRI
การทำภาพถ่ายรังสีวินิจฉัย เช่น CT Scan (เอกซเรย์คอมพิวเตอร์) หรือ MRI (คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า) มีความสำคัญอย่างยิ่งในการมองเห็นโครงสร้างภายในเบ้าตา ช่วยให้แพทย์สามารถระบุสาเหตุของอาการตาโปนได้อย่างแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นการอักเสบ เนื้องอก หรือความผิดปกติของหลอดเลือด
- CT Scan ให้ภาพกระดูกเบ้าตาและโพรงไซนัสได้ดี เหมาะสำหรับดูการบาดเจ็บหรือการติดเชื้อที่ลุกลามจากไซนัส
- MRI ให้รายละเอียดของเนื้อเยื่ออ่อน กล้ามเนื้อ เส้นประสาท และไขมันได้ดีกว่า เหมาะสำหรับวินิจฉัยเนื้องอกหรือการอักเสบของกล้ามเนื้อตาจากโรคไทรอยด์
แนวทางการรักษาภาวะตาโปน
เป้าหมายของการรักษาภาวะตาโปนคือการแก้ไขที่สาเหตุหลัก ควบคู่ไปกับการบรรเทาอาการที่ดวงตาเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนและฟื้นฟูคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย
การรักษาที่ต้นเหตุของโรค
การรักษาที่สาเหตุเป็นหัวใจสำคัญที่สุดที่จะช่วยให้อาการตาโปนดีขึ้นหรือหายไปได้ ซึ่งแพทย์จะวางแผนการรักษาตามโรคที่วินิจฉัยพบ การหาคลินิกทำตาที่เชี่ยวชาญเพื่อปรึกษาจึงเป็นทางเลือกที่ดี
- การรักษาโรคไทรอยด์ อาจเป็นการใช้ยาต้านไทรอยด์, การกลืนแร่ไอโอดีนเพื่อทำลายเนื้อเยื่อต่อมไทรอยด์, หรือการผ่าตัดต่อมไทรอยด์ออก
- การให้ยาปฏิชีวนะ สำหรับการติดเชื้อในเบ้าตา (Orbital Cellulitis) ซึ่งต้องให้ทางหลอดเลือดดำในโรงพยาบาล
- การผ่าตัดเนื้องอก หากสาเหตุเกิดจากเนื้องอก อาจต้องใช้การผ่าตัดเพื่อนำก้อนเนื้องอกนั้นออก
การรักษาเพื่อบรรเทาอาการที่ดวงตา
นอกจากการรักษาที่ต้นเหตุแล้ว การดูแลเพื่อลดอาการระคายเคืองและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่ดวงตาก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน โดยมีวิธีการดังนี้
- การใช้น้ำตาเทียม เพื่อหล่อลื่นดวงตาและลดอาการตาแห้ง ระคายเคือง
- การใช้ยาหยอดตาสเตียรอยด์ เพื่อช่วยลดการอักเสบและอาการบวมแดงที่ดวงตา
- การสวมแว่นกันแดด เพื่อป้องกันดวงตาจากลมและแสงแดด ลดการระคายเคือง
- การรักษาด้วยรังสี (Orbital Radiation) ในผู้ป่วยโรคไทรอยด์บางราย การฉายรังสีพลังงานต่ำที่เบ้าตาอาจช่วยลดการอักเสบและอาการบวมของเนื้อเยื่อได้
การรักษาด้วยการผ่าตัด
ในกรณีที่อาการตาโปนรุนแรงมาก มีผลกระทบต่อการมองเห็น หรือเพื่อแก้ไขปัญหาด้านความสวยงามหลังควบคุมโรคต้นเหตุได้แล้ว แพทย์อาจพิจารณาการผ่าตัด ซึ่งเป็นหัตถการที่มีความซับซ้อนและต้องทำโดยศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
- การผ่าตัดลดความดันในเบ้าตา (Orbital Decompression Surgery): เป็นการผ่าตัดเพื่อขยายพื้นที่ของเบ้าตา โดยการนำผนังกระดูกเบ้าตาบางส่วนออก เพื่อให้เนื้อเยื่อที่บวมมีพื้นที่มากขึ้นและลดแรงดันที่กระทำต่อลูกตาและเส้นประสาทตา
- การผ่าตัดเปลือกตาและกล้ามเนื้อตา (Eyelid and Eye Muscle Surgery): เพื่อแก้ไขภาวะเปลือกตารั้งขึ้น เปลือกตาปิดไม่สนิท หรืออาการเห็นภาพซ้อน
ภาวะแทรกซ้อนจากตาโปนที่ไม่ควรละเลย
หากปล่อยภาวะตาโปนไว้โดยไม่รักษา อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างถาวร
- แผลที่กระจกตาจากการที่เปลือกตาปิดไม่สนิท เมื่อเปลือกตาปิดได้ไม่สุด จะทำให้กระจกตาแห้งและสัมผัสกับมลภาวะตลอดเวลา นำไปสู่การระคายเคือง การติดเชื้อ และอาจเกิดแผลที่กระจกตา ซึ่งส่งผลต่อการมองเห็นอย่างถาวรได้
- เส้นประสาทตาถูกกดทับ อาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นถาวร นี่คือภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายที่สุด แรงดันในเบ้าตาที่สูงขึ้นจะไปกดทับเส้นประสาทตาที่อยู่ด้านหลัง หากปล่อยไว้นานเกินไปโดยไม่รักษา เส้นประสาทจะเสียหายและทำให้ตาบอดได้ในที่สุด
- ปัญหาด้านความสวยงามและผลกระทบทางจิตใจ ลักษณะดวงตาที่โปนออกมาผิดปกติส่งผลต่อรูปลักษณ์ภายนอกอย่างมาก ทำให้ผู้ป่วยสูญเสียความมั่นใจ มีภาวะเครียด วิตกกังวล และอาจส่งผลกระทบต่อการเข้าสังคมและความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง
ภาพประกอบการโฆษณาเท่านั้น
สรุปบทความ
ภาวะตาโปนเป็นมากกว่าปัญหาความงาม แต่เป็นสัญญาณสำคัญที่ร่างกายกำลังบอกถึงความผิดปกติภายใน การสังเกตอาการตัวเองและคนรอบข้างตั้งแต่เนิ่น ๆ และเข้าพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริง คือหนทางที่ดีที่สุดในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายและรักษาดวงตาอันมีค่าของเราไว้ค่ะ หากใครกำลังมีปัญหาตาโปนหรือมีความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพดวงตาและรูปหน้าที่เปลี่ยนไป BEAMS plastic surgery พร้อมดูแลทุกปัญหาด้วยความเข้าใจ โดย หมอบีม และทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมตกแต่งใบหน้า คุณสามารถเข้ามาปรึกษาเพื่อประเมินแนวทางการแก้ไขและวางแผนผลลัพธ์ที่ต้องการร่วมกัน สอบถามกับหมอบีม Facial Expert ผ่านช่องทางต่าง ๆ ของเรามาได้เลยค่ะ